Page 19 - หลักการและทฤษฎีการศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพครู
P. 19
การใช้ภาษาอังกฤษในวิชาชีพครู 10-9
เสียงพยัญชนะต้นในค�ำว่า show /∫/ และ choose /t ∫/ มีความแตกต่างกับ /ช/ ในภาษาไทย ใน
ด้านวิธีการออกเสียง การออกเสียง /∫/ ในค�ำ เช่น show จะมีลักษณะล้ินห่อและไม่มีการกักเสียง ส่วน
การออกเสียง /t ∫/ ในค�ำ เช่น choose คล้ายกับเสียง /ช/ แต่ลมพุ่งออกมาแรงกว่า
ส�ำหรับเสียงสระ มีหลายเสียงที่แม้จะคล้ายกับเสียงสระในภาษาไทยแต่วิธีการออกเสียงต่างกัน
เช่น ค�ำว่า so, know ออกเสียงคล้าย โ- แต่ล้ินเกร็งกว่าและโคนลิ้นสูงขึ้นในตอนท้าย
1.3 คำ� ในภาษาองั กฤษมเี สยี งควบกลาํ้ หรอื มเี สยี งพยญั ชนะหลายเสยี งทปี่ รากฏทง้ั พยญั ชนะตน้ และ
เสียงท้ายค�ำ เช่น grow, speak, true, school, stop, through, twenty, gasp, last, shrimp,
science, solve, twelve เป็นต้น ซ่ึงเป็นปัญหาส�ำหรับคนไทยในการออกเสียง
2. การออกเสยี งพยัญชนะท่ีอยทู่ า้ ยค�ำและการเปลย่ี นเสยี งตามไวยากรณ์
การออกเสียงท้ายค�ำเป็นลักษณะของภาษาอังกฤษที่แตกต่างจากภาษาไทยอย่างเด่นชัด ในภาษา
อังกฤษ ถ้าไม่ออกเสียงท้ายก็จะไม่เข้าใจความหมาย เช่น ค�ำว่า six และ sick ถ้าไม่ออกเสียงท้ายก็จะ
ไม่มีความหมายและฟังไม่เข้าใจ เสียงท้ายในภาษาอังกฤษมีทั้งเสียงเดียว เช่น eat, bus, rain และเสียงท้าย
ที่มีเสียงพยัญชนะหลายตัว เช่น shrimp, twelve, twelfth, strength ซ่ึงนับว่ายากส�ำหรับคนไทย จึงมัก
ได้ยินคนไทยจ�ำนวนหน่ึงพูดภาษาอังกฤษโดยไม่ออกเสียงท้าย อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ตระหนักถึงความ
แตกต่างนี้แล้ว ก็จะช่วยให้มีความพยายามท่ีจะฝึกฝนการออกเสียงให้ถูกต้อง
ภาษาอังกฤษมีการเปล่ียนเสียงตามไวยากรณ์ เช่น ค�ำนามที่เปลี่ยนจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์
ค�ำกริยาท่ีใช้กับประธานบุรุษที่สามเอกพจน์และค�ำกริยาท่ีเป็นอดีตกาล เป็นต้น การเปลี่ยนเสียงเหล่าน้ี
เจ้าของภาษาสามารถออกเสียงได้ตามธรรมชาติเมื่อเริ่มเรียนรู้ภาษา ส�ำหรับผู้ท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษา
ต่างประเทศจะต้องจ�ำและออกเสียงให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์
การเปลี่ยนเสียงตามไวยากรณ์มีตัวอย่าง ดังนี้
1) ค�ำนามที่เสียงท้ายเป็นเสียงไม่ก้อง (voiceless) เช่น cake, cup, hat เม่ือเติม s ก็ออกเสียง
เป็น /s/ ส่วนค�ำที่เสียงท้ายเป็นเสียงก้อง (voiced) เช่น bird, job, log เมื่อเติม s ต้องออกเสียงเป็น /z/ ค�ำ
กริยาท่ีใช้กับประธานบุรุษท่ีสามเอกพจน์ต้องเติม s ถ้าเสียงท้ายเป็นเสียงก้อง ก็ต้องออกเสียงท่ีเติมเป็น /z/
2) ค�ำนามพหูพจน์ เช่น dishes, churches, faces, edges และค�ำกริยาใน present tense ท่ี
ตามประธานบุรุษที่สามเอกพจน์ เช่น washes, races, loses ต้องออกเสียง /Iz/
3) กริยาท่ีเป็น past tense เมื่อเติม “ed” ออกเสียงต่างกันไป ได้แก่ ออกเสียงเป็น /d/ ถ้า
ค�ำน้ันลงท้ายด้วยเสียงก้อง เช่น rubbed, seemed แต่ออกเสียงเป็น /t/ เม่ือค�ำนั้นลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง
เช่น stopped, walked และออกเสียงเป็น /ǝd/ หรือ /Id/ เม่ือค�ำนั้นลงท้ายด้วยเสียง /t/ หรือ /d/ เช่น
needed, waited นอกจากน้ียังมีการเปล่ียนค�ำไปเลยในค�ำกริยาประเภท irregular verbs เช่น
think-thought เป็นต้น