Page 24 - การวิจัยทางนิเทศศาสตร์
P. 24

12-14 การว​ ิจัยท​ างน​ ิเทศศาสตร์

       สิ่งท​ ี่น​ ักป​ ระเมิน​จะต​ ้อง​พิจารณา​ต่อ​ไปค​ ือ ความ​สัมพันธ์แ​ ละค​ วาม​สอดคล้อง (contingency and congru-
ence)

       ความส​ มั พนั ธ์ ในก​ ารพ​ ิจารณาถ​ ึงค​ วามส​ ัมพันธ์ นักป​ ระเมินจ​ ะต​ ้องพ​ ิจารณาท​ ั้ง 3 ด้าน คือ สง่ิ น​ �ำ เ​ขา้ หรือป​ ัจจัย​
ต่าง ๆ ใน​การ​ประเมิน​โครงการ กระบวนการ เป็นการ​ปฏิบัติง​ านต​ ามแ​ ผน และผ​ ลผลติ ท​ ี่เ​กิดข​ ึ้น​จาก​โครงการ ว่า​ทั้ง 3
ด้าน​นี้ม​ ี​ความส​ ัมพันธ์ก​ ัน​หรือ​ไม่ ซึ่ง​การพ​ ิจารณา​ความ​สัมพันธ์ด​ ังก​ ล่าว​จะต​ ้อง​อาศัยห​ ลักเ​หตุผล

       ความส​ อดคล้อง ใน​การ​พิจารณา​ถึง​ความ​สอดคล้อง นักป​ ระเมิน​จะ​ต้องพ​ ิจารณา​ทั้ง 3 ด้าน เช่น​เดียวกัน คือ
สิ่งท​ ี่​มี​อยู่ก​ ่อน กระบวนการ และ​ผลผลิต โดย​พิจารณาเ​ปรียบเ​ทียบ​กันร​ ะหว่างส​ ิ่ง​ที่​คาด​หวัง​กับ​สิ่งท​ ี่​เกิดข​ ึ้น​จริง ซึ่ง​การ​
พิจารณาถ​ ึงค​ วามส​ อดคล้องน​ ี้ ข้อมูลท​ ีไ่​ดร้​ ับไ​มไ่​ดช้​ ีใ้​หเ้​ห็นว​ ่าผ​ ลผลิตท​ ีไ่​ดม้​ คี​ วามเ​ที่ยงห​ รือม​ คี​ วามต​ รง แตข่​ ้อมูลท​ ีไ่​ดจ้​ ะ​
ชี้​ให้​เห็น​แต่เ​พียงว​ ่า มี​สิ่งท​ ี่​เกิด​ขึ้นจ​ ริง​หรือ​ไม่เ​ท่านั้น ความส​ ัมพันธ์แ​ ละ​ความส​ อดคล้อง​แสดงไ​ด้ด​ ัง​ภาพ​ที่ 12.3

	ข้อมูล​เชิงบ​ รรยาย​สิ่งท​ ี่ค​ าดห​ วัง	             	                                  สิ่งท​ ี่เ​กิด​ขึ้นจ​ ริง
		                                               ความส​ อดคล้อง                             สิ่งน​ ำ�​เข้า
		 ปัจจัย	น​ ำ�​เข้า	                       (ระหว่างแ​ ผน​แ	ละ​การป​ ฏิบัติ)

	 ความส​ ัมพันธ์เ​ชิง​เหตุผล 	 	 ความ​สัมพันธ์เ​ชิงป​ ระจักษ์

			 กระบว		นการ	                            (ระหว่าคงวแ​าผมนส​ แ​อ	ลดะค​กลา้อรง​ปฏิบัติ)  กระบวนการ

	 ความส​ ัมพันธ์​เชิงเ​หตุผล 	 	 ความ​สัมพันธ์​เชิงป​ ระจักษ์

	 ผลผ	ลิต	                                       ความส​ อ	ดคล้อง                          ผลผลิต
		                                          (ระหว่าง​แผน​และ​การ​ปฏิบัติ)

ภาพ​ท่ี 12.3 แสดงก​ ระบวนการ​ของข​ อ้ มลู เ​ชิง​บรรยาย​ตามแ​ บบจ​ �ำ ลองก​ ารป​ ระเมิน

       จะ​เห็น​ว่า​รูป​แบบ​นี้​เน้น​เกณฑ์​ที่​เป็น​มาตรฐาน ผู้​ที่​จะ​ใช้​รูป​แบบ​นี้​ต้อง​มี​จุด​มุ่ง​หมาย​เพื่อ​การ​ตัดสิน​ใจ​โดย​
ยึด​เกณฑ์​เป็น​สำ�คัญ ซึ่ง​เกณฑ์​มาตรฐาน​นี้​อาจ​มี​อยู่​ก่อน​แล้ว​หรือ​ตั้ง​ขึ้น​ใหม่​โดย​คณะ​กรรมการ​หรือ​ผู้รับ​ผิด​ชอบ​
แผนฯ ก็ได้ สำ�หรับท​ ี่มา​ของ​การ​ตัดสิน​ใจ​ควร​ให้​ผู้​ประเมิน​มีบ​ ทบาทด​ ้วย คือ​ต้อง​สรุปอ​ อกม​ า​ให้​ได้​ว่า การดำ�​เนิน​งานม​ ​ี
ประสทิ ธภิ าพม​ ากน​ อ้ ยเ​พยี งใ​ด ตอ้ งป​ รบั ปรงุ เ​ปลีย่ นแปลงท​ จี​่ ดุ ใ​ด หรอื ม​ ป​ี จั จยั อ​ ะไรเ​ปน็ ต​ วั เ​กือ้ ห​ นนุ ห​ รอื เ​ปน็ อ​ ปุ สรรคต​ อ่ ​
การด​ ำ�เนินง​ าน

       3. 	 รปู แ​ บบก​ ารป​ ระเมนิ ท​ เ​่ี นน้ ก​ ารต​ ดั สนิ ใ​จ เปน็ ร​ ปู แ​ บบก​ ารป​ ระเมินท​ ีม​่ จ​ี ดุ ม​ ุ่งห​ มาย เพื่อใ​หไ้​ดม้​ าซ​ ึ่งข​ ้อมลู และ​
ขา่ วสารต​ า่ ง ๆ เพือ่ ช​ ่วยผ​ บู​้ ริหารต​ ัดสนิ ใ​จใ​นก​ ารจ​ ัดการไ​ดอ​้ ย่างถ​ ูกต​ ้อง (Decision-oriented Evaluation) สตฟั เฟลิ​ บมี
(Stufflebeam. 1985: 159) ได้​เสนอ​รูป​แบบก​ าร​ประเ​มิน​ซิป​ป์ (CIPP Model) เพื่อใ​ช้ใ​น​การ​ประเมิน ซึ่งเ​ป็น​ที่น​ ิยม​มาก
รูป​แบบน​ ี้ท​ ำ�การป​ ระเมิน 4 ด้าน คือ

            3.1 	การป​ ระเมนิ ​บรบิ ทห​ รอื ​สภาวะแ​ วดลอ้ ม (Context evaluation: C) เน้น​การ​หาข​ ้อมูล​เกี่ยว​กับค​ วาม​
ต้องการ​และ​ทรัพยากร​ต่าง ๆ ตลอด​จน​การ​กำ�หนด​สภาพ​แวดล้อม​ที่​เกี่ยวข้อง​เพื่อ​การ​ตัดสิน​ใจ​เกี่ยว​กับ​วัตถุประสงค์​
และ​เป้า​หมายข​ องแ​ ผน​ เป็นการต​ รวจ​สอบเ​พื่อ​ตอบค​ ำ�ถาม เช่น
   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28   29