Page 41 - การศึกษาชีวิตครอบครัวและชุมชน
P. 41
การสร้างเสรมิ ความเข้มแขง็ ของครอบครวั และชมุ ชน 12-29
ตามแผนใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ในความเหน็ ของนกั วชิ าการตา่ งๆ (ชวู ทิ ย์ พทิ กั ษพ์ รพนั ลภ, 2544,
น. 39; จอมพงศ์ มงคลวนชิ , 2555, น. 230) การมสี ว่ นรว่ ม คอื การทำ� งานรว่ มกนั เพอ่ื ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์
ด้วยความตั้งใจ โดยการท�ำงานร่วมกันที่กล่าวนี้จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อได้เกิดขึ้นอย่าง
ถูกจังหวะในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยผู้ท่ีเข้าร่วมได้ท�ำงานร่วมกันด้วยความรู้สึกผูกพัน เชื่อถือ และ
ไว้วางใจ การมีส่วนรว่ มเป็นกจิ กรรมที่เก่ยี วขอ้ งกบั จิตใจและอารมณ์มากกวา่ จะเปน็ กิจกรรมทางกายภาพ
โดยจะเป็นตัวกระตุ้นให้สมาชิกมีการช่วยเหลือและท�ำประโยชน์แก่กัน ขณะเดียวกันบุคคลท่ีเข้ามามี
สว่ นรว่ มจะเกดิ ความรสู้ กึ เปน็ เจา้ ของ (ownership) ความสมคั รใจทจ่ี ะลงมอื ปฏบิ ตั ิ (compliance) รวมทงั้
ยอมรับผลที่เกดิ ขึ้นจากการปฏบิ ตั ิรว่ มกนั (commitment) ดว้ ยความเต็มใจ
5. การมีกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ในชุมชน
การแลกเปลยี่ นเรยี นรทู้ เี่ กดิ ขนึ้ อยา่ งกวา้ งขวางภายในชมุ ชนเปน็ เครอื่ งมอื อนั ทรงพลงั ทจี่ ะชว่ ยให้
คนในชมุ ชนมโี อกาสในการพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เปน็ ธรรมชาติ และสมั พนั ธเ์ ชอื่ มโยงกบั วถิ กี ารดำ� เนนิ
ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนทุกเมื่อเชื่อวันภายในชุมชน การสร้างกระบวนการท่ีเปิดโอกาสให้คน
ส่วนใหญ่ได้เรียนรู้ในสิ่งท่ีต้องการรู้ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้คนในชุมชนได้รับรู้เหตุการณ์และการ
เปลยี่ นแปลงตา่ งๆ รวมทงั้ มกี ารแลกเปลย่ี นขอ้ มลู กนั อยา่ งกวา้ งขวางจะชว่ ยสรา้ งความตระหนกั และความ
เข้าใจในปัญหาที่ก�ำลังเผชิญอยู่ ซึ่งเป็นจุดเร่ิมต้นที่จะน�ำไปสู่การแก้ปัญหาของชุมชนต่อไป ในความเห็น
ของ ประเวศ วะสี (2557, น. 3) การเรียนรู้รว่ มกนั ผา่ นการลงมือปฏบิ ตั ิ (interactive learning through
action) เป็นหัวใจของความส�ำเร็จในการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง โดยมีองค์ประกอบ 3 ประการเข้ามา
เก่ียวข้อง ได้แก่ (1) ข้อมูลข่าวสารและความรู้ต่างๆ ท้ังความรู้เก่าและความรู้ใหม่เกี่ยวกับส่ิงท่ีชุมชน
จะลงมอื ทำ� โดยความรเู้ หลา่ นอ้ี าจเปน็ ความรใู้ นตวั คนหรอื ความรทู้ เ่ี กดิ จากการวจิ ยั กไ็ ด้ (2) การเรยี นรู้ ซงึ่
เปน็ เรอื่ งสำ� คญั ทสี่ ดุ เพราะหากมคี วามรแู้ ตไ่ มม่ กี ารเรยี นรู้ ความรนู้ นั้ จะไมม่ ปี ระโยชนแ์ ตอ่ ยา่ งใด การเรยี นรู้
ในท่ีน้ีต้องมิใช่การท่องจ�ำจากต�ำรา แต่ต้องเป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติ และต้องเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน
ของทกุ ฝ่าย และ (3) การจดั องค์การ เมอ่ื ชมุ ชนท�ำงานรว่ มกนั ไปแลว้ ระยะหนงึ่ จะเกดิ ผู้นำ� ตามธรรมชาติ
และ “องคก์ รชมุ ชน” ขน้ึ มา โดยองคก์ รจะมสี ถานะเปน็ เครอื่ งมอื การจดั การทช่ี ว่ ยใหก้ ารเรยี นรรู้ ว่ มกนั จาก
การลงมอื ปฏบิ ัตเิ ป็นไปไดด้ ยี ่ิงข้นึ
6. ความอุดมสมบูรณ์ของฐานทรัพยากรในชุมชน
ชุมชนต่างๆ ล้วนมีทุนเดิมที่ท�ำให้คนในชุมชนสามารถอยู่รอดและเติบโตได้โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐ
มากนกั ฐานทรพั ยากรของทอ้ งถน่ิ ทอี่ ดุ มสมบรู ณ์ นอกจากจะเปน็ ปจั จยั สำ� คญั ของการเกษตรกรรมในพน้ื ท่ี
แล้ว ยังช่วยให้ชาวบ้านสามารถด�ำเนินชีวิตอยู่ภายในชุมชนได้โดยไม่ยากล�ำบาก แต่เมื่อใดท่ีความ
อุดมสมบรู ณห์ มดไป ชวี ติ ความเป็นอยู่ของชาวบา้ นจะถกู กระทบอยา่ งรุนแรง โดยการปรับตวั เพือ่ ตอ่ สู้กับ
ความยากลำ� บากทเ่ี กดิ ขน้ึ มกั เปน็ การอพยพทง้ิ ถน่ิ สกู่ ารเปน็ แรงงานรบั จา้ งในเมอื ง ซงึ่ มผี ลใหพ้ ลงั ของการ
พัฒนาภายในชุมชนลดน้อยลงไป ในความเห็นของ สีลาภรณ์ บัวสาย (2552) การที่ฐานทรัพยากรของ