Page 56 - การศึกษาชุมชนเพื่อการวิจัยและพัฒนา
P. 56

7-46 การศึกษาชมุ ชนเพ่อื การวจิ ยั และพัฒนา
            ประการที่สาม การตรวจสอบแบบสามเส้า ทมี่ ีสามประเภทคือ วิธกี ารเกบ็ ขอ้ มูลทแี่ ตกตา่ ง

ไปจากเดิม (Methodological triangulation) การตรวจสอบโดยใช้แหล่งข้อมูลท่ีแตกต่างกัน (Data
triangulation) และการตรวจสอบโดยใชผ้ ้เู ก็บขอ้ มูลแตกตา่ งกนั (Investigator triangulation)

            หลกั การของการใช้ การตรวจสอบขอ้ มลู แบบ สามเสา้ (Triangulation) คอื การถว่ งนา้ํ หนกั
ระหว่าง ข้อมูลแบบที่ 1 กับ แบบท่ี 2 ท่อี าจจะตรงขา้ มกันอยา่ งส้ินเชงิ ด้วยการคน้ หา ขอ้ มลู แบบที่ 3 ที่
แตกต่างไปจากท้ังสองแบบ เพื่อพิจารณาหาเง่ือนไขต่างๆ ท่ีท�ำให้เกิดปรากฏการณ์นั้นๆ หรือความเป็น
จรงิ ทสี่ ดุ ทง้ั น้ี หลกั การของการตรวจสอบสามเสา้ ไมไ่ ดเ้ ชอื่ วา่ จะมคี วามจรงิ สงู สดุ เพยี งหนงึ่ เดยี ว แตค่ วาม
จรงิ อาจจะมหี ลายชดุ ขึ้นกับเงื่อนไขตา่ งๆ ซึง่ นกั วิจัยต้องตรวจสอบให้พบ

            ในที่น้ี ขอยกตัวอย่าง การตรวจสอบด้วยการใช้การเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันไปจากการท�ำ
วจิ ัยเรอื่ ง The Global Village: Grounded Experience, Media Response in Eastern Thailand
(Chanrungmaneekul, 2009) ในครง้ั แรกของการเกบ็ ขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั ตอ้ งการทราบวา่ ชมุ ชนภาคตะวนั ออก
น้ีมีสื่อด้ังเดิมอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง จึงใช้วิธีสัมภาษณ์ผู้น�ำชุมชนหญิงคนหน่ึง เธอให้ข้อมูลว่า ชุมชนน้ีมี
วฒั นธรรมการทอเสอ่ื กกซงึ่ ทอดว้ ยมอื และใชเ้ ปน็ สอ่ื ในการรวมกลมุ่ แมบ่ า้ นดว้ ย มรี ายไดเ้ พม่ิ จากการขาย
ได้ด้วย ต่อมาคร้ังที่สอง ผู้วิจัยได้ใช้วิธีเข้าไปเยี่ยมบ้านผู้น�ำคนนี้ โดยยังไม่ได้ฝังตัวในหมู่บ้าน (ใช้วิธี
สังเกตการณ์) ก็พบว่ามีก่ีทอเสื่อต้ังอยู่หน้าบ้าน และเธอก็ลงมือทอเสื่อให้ดูบ่อยคร้ัง แต่ผู้วิจัยเร่ิมสังเกต
แล้วว่า บา้ นอ่ืนๆ ไมม่ กี ีท่ อเส่อื ไม่มกี จิ กรรมทอเสอื่ และไมม่ ีแม่บ้านนำ� เสอ่ื มาขายหรอื มารวมกลมุ่ ตอนที่
ผูว้ ิจยั ไปเยี่ยม ซ่ึงขอ้ มูลน้แี ตกต่างอยา่ งส้นิ เชงิ กบั คร้งั แรก อยา่ งไรก็ตาม ผู้วิจัยยงั เกดิ ข้อสงสัยอีกมาก จึง
เพียงแต่วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น โดยตั้งดัชนีไว้ว่า “กลุ่มทอเส่ือ” “แม่บ้านมีรายได้” “รวมกลุ่มสื่อสาร”
แต่ยังไม่ไดด้ ว่ นตดั สนิ สรา้ งขอ้ สรุปด้วยแนวคิดทฤษฎใี ด

            ต่อมาผู้วิจัย ลงไปฝังตัวในหมู่บ้าน (ใช้วิธีเชิงชาติพรรณวรรณนา) และคุ้นเคยกับชาวบ้าน
จ�ำนวนมาก ไปมาหาสู่จนเป็นเร่ืองปกติ รวมท้ังไปทำ� กิจกรรมร่วมกับผู้น�ำหญิงคนเดิมบ่อยคร้ัง จึงพบว่า
มคี นทอเสอ่ื อยเู่ พียงบ้านเดียวคอื บา้ นผู้น�ำคนน้ี โดยเธอจะทอเสื่อใหค้ นภายนอกดู โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งคน
จากกลุ่มนักพัฒนาและนักวิชาการ โดยก่อนหน้าน้ีกลุ่มนักพัฒนาได้สร้างกิจกรรมรณรงค์การทอเสื่อตาม
แนวคิดฟนื้ ฟูชมุ ชน โดยน�ำเธอไปอบรมแนวคดิ และพยายามสร้างกลมุ่ ข้ึนมาโดยใหเ้ ธอเป็นแกนน�ำ แตใ่ น
เวลาตอ่ มาเมอ่ื โครงการดงั กลา่ วยบุ เลกิ ไป กจิ กรรมการทอเสอื่ กห็ ายไปดว้ ย เพราะเธอบอกวา่ หมบู่ า้ นเจรญิ
ไปมากแลว้ ไมม่ กี กเหลอื หายากมาก และขายยาก คนไปทำ� โรงงานหรอื ประกอบอาชพี อนื่ จะมรี ายไดท้ ดี่ กี วา่
เดก็ รุ่นใหม่ไม่มีใครทอเป็นแลว้ ดว้ ย เธอจึงทอให้ดูเป็นตวั อยา่ งเวลาผู้วิจัยมาเย่ยี มเทา่ น้ัน

            การตรวจสอบขอ้ มลู คร้ังนี้ เป็นบทเรยี นใหผ้ ูเ้ ขียนตระหนกั เปน็ อย่างดีวา่ การทำ� วจิ ยั ชุมชน
นน้ั ตอ้ งใชเ้ วลานานพอสมควรกวา่ ทค่ี วามจรงิ จะปรากฏ การดว่ นตดั สนิ หรอื ดว่ นสรา้ งขอ้ สรปุ เปน็ ขอ้ ผดิ พลาด
อยา่ งมหนั ต์

            ส�ำหรับการตรวจสอบความครบถ้วนและคุณภาพของข้อมูล ซึ่งต้องพิจารณาว่าข้อมูล
“พอเพียง” หรือไม่ และขอ้ มูลอ่มิ ตวั หรอื ไม่ เม่อื นักวิจยั การสอ่ื สารชมุ ชนลงมือเก็บขอ้ มูล ให้ระมัดระวังวา่
มใิ ชก่ ารเกบ็ ขอ้ มลู เฉพาะเรอ่ื งการสอ่ื สารเทา่ นน้ั ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู จำ� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณา “ความพอเพยี ง”
จากเง่ือนไขสองประการคอื ประการแรก สามารถเก็บข้อมูลมาจากแหลง่ ขอ้ มูลสำ� คัญทง้ั หมด และประการ
ทีส่ อง ข้อมูลเกดิ ภาวะอิม่ ตัว
   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61