Page 60 - การวิจัยทางการวัดและประเมินผลการศึกษา
P. 60

3-50 การวิจัยทางการวัดและประเมินผลการศึกษา

แทรกซ้อนเป็นตวั แปรอสิ ระตวั แปรหนึง่ ในการวจิ ัย การวเิ คราะหข์ ้อมูลจะใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนรว่ ม
(ANCOVA) เพ่ือควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนให้มีผลเท่ากัน ๆ ทุกกลุ่ม จึงสามารถศึกษาผลของตัวแปรอิสระ
ที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจน

2. 	การออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research design)
การวิจัยก่ึงเชิงทดลองมีจุดประสงค์เหมือนกับการวิจัยเชิงทดลอง คือ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์

เชิงสาเหตุ-ผลลัพธ์ของตัวแปร แต่การวิจัยก่ึงทดลองไม่สามารถด�ำเนินการกระบวนการสุ่มได้ เน่ืองจากมี

ขอ้ จำ� กดั ในการสมุ่ ทไ่ี มส่ ามารถเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งดว้ ยวธิ กี ารสมุ่ อยา่ งสมบรู ณไ์ ด้ ถงึ แมว้ า่ การวจิ ยั เชงิ ทดลอง

จะเป็นวิธีการท่ีเหมาะสมที่สุดต่อการสรุปผลการวิจัยในเชิงสาเหตุ-ผลลัพธ์ แต่การท�ำวิจัยเชิงทดลองในสาขา

สังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ เป็นเรื่องที่ท�ำได้ยาก เพราะมีปัญหาด้านจริยธรรมของการวิจัย และการ

ไม่สามารถสุ่มกลุ่มตัวอย่างได้อย่างสุ่มโดยสมบูรณ์ ในการนี้นักวิจัยจะออกแบบการวิจัยที่เรียกว่าการวิจัยท่ี

ไม่ใช่วิจัยเชิงทดลอง แต่มีจุดมุ่งหมายเพ่ือหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ งานวิจัยเหล่าน้ีมีความส�ำคัญมากใน

ปัจจุบันในทางการศึกษา และการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของนโยบาย โครงการ และการแทรกแซง

(intervention) เพื่อแก้ไขปัญหา การออกแบบการวิจัยท่ีส�ำคัญในกลุ่มนี้ เรียกว่า การวิจัยกึ่งทดลอง

(quasi experiments) มีรูปแบบที่ส�ำคัญ ดังนี้
2.1	รปู แบบทดสอบกอ่ น-หลงั (pretest-posttest design) รูปแบบนี้มีการทดสอบก่อนและหลังเรียน
แต่ใช้กลุ่มทดลองกลุ่มเดียวโดยไม่มีกลุ่มควบคุม กล่าวคือ  เม่ือท�ำการทดสอบก่อนเรียนแล้ว  (O1)  มีการ
ทดลอง (X) หลังจากนั้นจึงมีการวัดคร้ังท่ีสอง (O2)

                                              O1 X  O2

       ตามรูปแบบการทดลองนี้ ถ้าพบวา่ ผลการวดั ก่อนและหลังทดลองแตกต่างกัน ผูว้ จิ ยั จะสรุปวา่ ความ
แตกต่างท่ีพบเป็นผลมาจากการทดลอง แต่การสรุปผลการวิจัยอาจไม่ถูกต้องก็ได้ เพราะไม่มีการสุ่ม และ
ไม่มีกลุ่มควบคุมส�ำหรับเปรียบเทียบ ปัจจัยที่อาจท�ำให้การสรุปผลการวิจัยผิดพลาด เช่น การทดสอบก่อน
และหลังเรียนเว้นระยะห่างมาก และในระหว่างน้ันกลุ่มตัวอย่างอาจประสบ หรือได้ท�ำบางส่ิงบางอย่างท่ีอาจ
ช่วยท�ำให้เกิดความแตกต่างในการวัด แคมเบล และสแตนเลย์ เรียกปัจจัยชนิดน้ีว่า เหตุการณ์แทรก
(history) นอกจากน้ีความแตกต่างของ O1 — O2 อาจเป็นผลมาจากการท่ีกลุ่มตัวอย่างเปล่ียนแปลงไปเพราะ
เวลาเปลี่ยนไป การเปล่ียนแปลงเช่นน้ีอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยา หรือทางกายภาพที่อาจท�ำให้
ส่งผลต่อการวัด O2 ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและชีวภาพของกลุ่มตัวอย่าง
(maturation) นอกจากน้ี หากนักวิจัยใช้เคร่ืองมือคนละอย่างกันส�ำหรับวัด O1 และ O2 อาจเป็นไปได้ว่า
ความแตกต่างของ O1 — O2 อาจเกิดจากเครื่องมือท่ีไม่เหมือนกัน ปรากฏการณ์น้ีเรียกว่า เคร่ืองมือและวิธี
การวัดบกพร่อง (instrumentation)
   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65