Page 28 - สื่อศึกษา
P. 28
6-18 สื่อศึกษา
(Payne Fund) ในชว่ งทศวรรษที่ 1920-1930 เพอ่ื ทดสอบวา่ ภาพยนตรม์ พี ลงั ตอ่ ผรู้ บั สารโดยเฉพาะเดก็ ๆ
ไดห้ รอื ไม่ โดยเนน้ การวจิ ัยเชงิ ทดลองและม่งุ เน้นมิตดิ า้ นจิตวิทยา ผลการวิจัยตีพิมพ์ในช่วง 1933 ยืนยนั
ว่า เด็กได้รับผลจากภาพยนตร์ เช่น การจดจ�ำรายละเอียด และระลึกถึงข้อมูลต่างๆ ในภาพยนตร์ได้
(Sullivan, 2013)
แนวคดิ ผลกระทบสอ่ื ไดร้ บั การตอกยาํ้ อยา่ งเดน่ ชดั อยา่ งสงู สดุ หลงั จากการถอื กำ� เนดิ ของสอื่ วทิ ยุ
ซงึ่ เปน็ สอื่ ทแ่ี พรก่ ระจายในครวั เรอื นชาวอเมรกิ นั อยา่ งมาก ในชว่ งทศวรรษท่ี 1930 พบวา่ เกอื บรอ้ ยละ 70
มวี ทิ ยใุ นบา้ น และใชส้ ่อื วทิ ยเุ พือ่ ขา่ วสาร ความบันเทงิ และเหตกุ ารณส์ ำ� คัญคือ กรณีของการออกอากาศ
รายการวทิ ยุ ดิ อนิ เวชั่น ฟอรม์ มาร์ส (The Invasion from Mars) ในชว่ งปี 1938 ของ ออร์สัน เวลลส์
(Orson Wells) ซ่งึ ดดั แปลงจากนิยายของ เอช. จ.ี เวลลส์ (H.G. Wells) เรือ่ ง เดอะ วอร์ ออฟ เดอะ
เวริ ลดส์ (The War of the Worlds) เกย่ี วขอ้ งกบั มนษุ ยต์ า่ งดาวบกุ โลก และสรา้ งผลกระทบผฟู้ งั รายการ
ตนื่ ตระหนกหรอื แมส แพนิก (mass panic) ผคู้ นตา่ งหนอี อกจากเมืองหลังได้รับฟงั รายการ
ประกอบทง้ั ในบรบิ ทชว่ งเวลาดงั กลา่ ว สงั คมโลกเรมิ่ กา้ วเขา้ สสู่ งครามโลกครงั้ ทห่ี นงึ่ และสอง ความ
ขัดแย้งระหว่างประเทศเริ่มเกิดข้ึน การเมืองก็ก้าวเข้ามาเก่ียวข้องกับผู้รับสาร รัฐเร่ิมใช้การสื่อสารเพื่อ
โฆษณาชวนเชื่อ ทั้งการให้ข้อมูลสีขาว-สีด�ำ-สีเทา โดยใช้สื่อภาพยนตร์และก้าวสู่สื่อวิทยุ บนฐานคิดถึง
พลังของส่ือในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนในประเด็นสงคราม หน่วยงานภาครัฐและเอกชนก็เริ่ม
ใหค้ วามสนใจในการสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ การวจิ ยั เพอ่ื ตอกยาํ้ อทิ ธพิ ล เชน่ มลู นธิ ริ อ็ กกเี้ ฟลเลอร์ (The Rocke-
feller Foundation) งานวิจัยในช่วงเวลานน้ั ของสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มการมุง่ เน้นว่า สือ่ จะท�ำอยา่ งไรท่ีจะ
ขยายความรู้ เปล่ียนทศั นคติ สนบั สนุนประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการและสงคราม
ยุคที่สอง พลังอันจ�ำกัดของสื่อมวลชน
ในขณะที่ยุคแรกค่อนข้างมองผู้รับสารในฐานะผู้อ่อนแอ ผู้ถูกกระท�ำ และผู้รับสารต้องมีการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามที่ผู้ส่งสารก�ำหนด อันเป็นผลจากทฤษฎีจิตวิทยาพฤติกรรม เอส-อาร์
ทอี อรี (s-r theory) ทฤษฎกี ระสนุ ปนื บรบิ ทสงั คมทก่ี า้ วสสู่ งั คมอตุ สาหกรรมและอทิ ธพิ ลจากสงครามโลก
ดงั ทกี่ ล่าวไปแลว้ ขา้ งต้น และได้สร้างความหวาดหว่ันและตระหนกต่อสงั คมทม่ี ีตอ่ สือ่ มวลชน ทว่า ในชว่ ง
เวลาต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็เร่ิมเกิดการตั้งค�ำถามต่อมาว่า ส่ือจะมีพลังอย่างล้นเหลือต่อ
ผรู้ บั สารอยา่ งนนั้ จรงิ หรอื ไม่ และผรู้ บั สารจะออ่ นแอดงั ทก่ี ลา่ วไวห้ รอื จงึ เรมิ่ มกี ารศกึ ษาทบทวนการศกึ ษา
ผู้รับสารอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยใช้กระบวนการวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในช่วงหลังทศวรรษท่ี 1940
เป็นตน้ มา
กาญจนา แกว้ เทพ (2552a) ได้ช้ใี หเ้ หน็ ว่า เหตกุ ารณส์ �ำคญั ที่ท�ำใหเ้ กดิ การทบทวนพลงั ของส่ือ
กค็ อื การวิจยั ผลของอิทธพิ ลของสือ่ วิทยรุ ายการ ดิ อนิ เวชัน่ ฟอรม์ มาร์ส (The Invasion from Mars)
อย่างละเอียดและได้ข้อค้นพบว่า สื่อวิทยุมิได้มีอิทธิพลต่อผู้รับสารในลักษณะอ่อนแอท้ังหมด ดังเช่น
งานของ คันทริล (Cantril) ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ด้านหนึ่งวิทยุอาจมีพลัง แต่ทว่า กลุ่มผู้ฟังก็มีความ
หลากหลาย บางคนอาจจะเช่ือ ซ่งึ มาจากการขาดการวเิ คราะหว์ พิ ากษ์ เปน็ คนหวั อ่อน แตห่ ากเป็นกลุม่
คนที่มีความคิดวิจารณญาณก็จะตรวจสอบข่าวสาร และรวมถึงบางกลุ่มก็อาจได้รับฟังจากเพื่อนบ้านและ
ส่งผลใหเ้ ชอื่ เหตุการณ์