Page 22 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 22

8-12 ทฤษฎีและการวจิ ารณ์ภาพยนตร์
       จากตารางข้างต้นสามารถอธิบายความแตกต่างในแตล่ ะกระบวนทศั น์ไดด้ งั นี้
       ในดา้ นเปา้ หมาย กระบวนทศั นเ์ ชงิ เหตผุ ลมองวา่ เปา้ หมายในการเลา่ เรอื่ งคอื การสะทอ้ นความจรงิ

ทเ่ี กดิ ขน้ึ กลา่ วคอื ตอ้ งมคี วามจรงิ เกดิ ขน้ึ เสยี กอ่ น เรอื่ งเลา่ เหลา่ นจ้ี งึ สามารถทจ่ี ะสะทอ้ นความจรงิ ออกมาได้
ขณะทก่ี ระบวนทศั นก์ ารเลา่ เรอ่ื งมองวา่ การเลา่ เรอ่ื งนน้ั เปน็ การประกอบสรา้ งความเปน็ จรงิ (construction
of reality) กลา่ วคอื ความเปน็ จรงิ ในโลกนนั้ อาจจะมหี รือไม่มกี ไ็ ด้ หากไมม่ ีความเปน็ จรงิ การเลา่ เรอื่ งก็
สามารถประกอบสรา้ งความเปน็ จรงิ (constructed reality) ขน้ึ มาได้ หรอื หากมคี วามเปน็ จรงิ ในโลก การ
เล่าเรอื่ งกส็ ามารถทีจ่ ะประกอบสร้างความหมาย (construction of meaning) ขนึ้ มาได้

       ในดา้ นขอบเขตและหนา้ ท่ี การศกึ ษาเรอ่ื งเลา่ ในกระบวนทศั นเ์ ชงิ เหตผุ ลมกั อยใู่ นศาสตรด์ า้ นศลิ ปะ
อกั ษรศาสตร์ วรรณกรรม โดยการเลา่ เรือ่ งมหี นา้ ทีใ่ นเชิงสนุ ทรยี ะ (aesthetic) ผู้คนฟัง อา่ น ชม ดูเรอื่ ง
เล่าเหล่าน้ีเพอื่ รูส้ ึกซาบซ้ึงด่ืมด่าํ ขณะทก่ี ารศึกษาเรอื่ งเลา่ ในกระบวนทัศน์การเล่าเรอ่ื งได้ขยายออกไปยัง
ศาสตร์แขนงต่างๆ ครอบคลมุ ทงั้ เน้ือหาทีเ่ ปน็ “เร่อื งแตง่ ” (fiction) และ “เรื่องจรงิ ” (factual) เชน่ การ
เล่าเรอื่ งในส่ือมวลชนนน้ั ก็มีท้ังการเลา่ เรือ่ งทแี่ ตง่ ขึ้น เช่น ละคร นวนิยาย และการเลา่ เรอ่ื งที่เปน็ เรอ่ื งจรงิ
ท่เี กดิ ข้นึ อยา่ งรายการขา่ ว รายการสารคดี โดยหนา้ ที่ของการศกึ ษาเรอื่ งเล่ากม็ งุ่ ไปที่การทำ� ความเขา้ ใจ
(understanding) วา่ เหตุใดการเล่าเรือ่ งจงึ มีการประกอบสร้างความหมายเชน่ นั้น เช่น เหตใุ ดภาพยนตร์
เรอื่ ง พม่ี าก…พระโขนง (2556) ซงึ่ เปน็ เรอ่ื งเลา่ เกยี่ วกบั แมน่ าคพระโขนงจงึ ตอ้ งประกอบสรา้ งความหมาย
ใหม่ที่ต่างไปจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่นาคเดิมจากการเล่าว่าคนกับผีไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยให้
“พ่มี าก” พระเอกทเ่ี ปน็ คนรักยอมรบั นางเอกที่เป็นผี ซงึ่ เปน็ ความเป็นอืน่ ไปจากความเป็นมนุษย์

       ในประเด็นจุดเน้นของการศึกษาเร่ืองเล่านั้นท้ังกระบวนทัศน์เชิงเหตุผลและกระบวนทัศน์การเล่า
เร่ืองมีจุดท่ีเหมือนกันตรงท่ีมองว่าการเล่าเรื่องเป็นเร่ืองราวท่ีถูกบอกเล่าในลักษณะ “ชุดล�ำดับของ
เหตุการณ”์ และโครงสรา้ งของการเลา่ เรอื่ งนนั้ มี 2 มติ ิ ได้แก่ มิติท่ีเป็นแกนหลัก อันเป็นมิติของ “เรือ่ งที่
เลา่ ” (What to narrate) และมติ ทิ ส่ี อง เปน็ มติ ขิ องวธิ กี ารเลา่ (How to narrate) แตท่ ง้ั 2 กระบวนทศั น์
ตา่ งมจี ดุ เนน้ ทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป โดยในกระบวนทศั นเ์ ชงิ เหตผุ ลจะสนใจวา่ “จะเลา่ เรอ่ื งอะไร” (What to
narrate) โดยมองวา่ ลักษณะของเรื่องที่เล่าจะเป็นตัวก�ำหนดวิธกี ารเล่าเร่ือง เชน่ หากเราจะเลา่ เรื่องชีวติ
ของทหารผเู้ สยี สละเพอื่ ชาติ เรากจ็ ะออกแบบวธิ กี ารเลา่ เรอื่ งใหม้ ลี กั ษณะดรามา่ มกี ารไตร่ ะดบั ทางอารมณ์
ใหต้ วั ละครเอกตอ้ งตัดสนิ ใจเลอื กระหวา่ งความรกั กบั หนา้ ท่ี เพอื่ วิธีการเลา่ เรื่องนั้นจะได้ไปรองรับกบั เร่ือง
ท่ีเลา่ ในขณะท่ีในกระบวนทัศนก์ ารเลา่ เรอื่ งจะเน้นไปที่ “วิธีการเลา่ เร่อื ง” มากกว่า “เรือ่ งที่เล่า” เพราะ
การเล่าเร่ืองสามารถท่ีจะประกอบสร้างความหมายสิ่งต่างๆ ได้ผ่านการเล่าเรื่อง เช่น การเล่าเรื่องผีใน
ภาพยนตรไ์ ทยสามารถกระทำ� ไดใ้ นหลายลกั ษณะ ไมว่ า่ จะเปน็ ผที ถ่ี กู กระทำ� กลบั มาทวงคนื ความยตุ ธิ รรม
ใน ชัตเตอร์กดตดิ วญิ ญาณ (2547) ผสี าวแสนสวยอารมณ์ดขี ้เี ลน่ รกั เดียวใจเดียว ใน พ่ีมาก..พระโขนง
(2556) ผกี ระสอื สาวผูม้ ีความรกั แสนโรแมนตกิ ใน แสงกระสือ (2562)

       สว่ นในด้านเครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเลา่ เรอ่ื ง ของกระบวนทศั นเ์ ชิงเหตุผลน้ันจะกระทำ� ผา่ น “ภาษา”
เท่านั้น ซ่ึงอาจจะเป็นภาษาเขยี นหรือพูด ขณะทีใ่ นกระบวนทัศนก์ ารเล่าเรอ่ื งนน้ั ไมจ่ ำ� กดั ขอบเขตอยูเ่ พยี ง
แคภ่ าษาพูดและภาษาเขียนเทา่ นัน้ แตร่ วมไปถงึ ภาพ และเสียงดว้ ย
   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27