Page 28 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 28

8-18 ทฤษฎแี ละการวิจารณ์ภาพยนตร์
กิจกรรม 8.1.2

       จงอธิบายแนวคิดการเล่าเร่ืองในทรรศนะนักวิชาการแขนงต่างๆ ซ่ึงศึกษาการเล่าเร่ือง ของ
วลาดเิ มียร์ พรอ็ พ, โคลด เลวี่ สเทราส์และโรลอ็ งด์ บารธ์ ส์ มาพอสังเขป
แนวตอบกิจกรรม 8.1.2

       แนวคิดการเล่าเรอ่ื งในทรรศนะนักวชิ าการตา่ งๆ มีดงั น้ี
       (1) วลาดเิ มยี ร์ พรอ็ พ (Valadimir Propp) เปน็ นกั วรรณกรรมศกึ ษาชาวรสั เซยี และสมาชกิ ของ
กลมุ่ โครงสรา้ งนยิ ม (Formalism) งานเขยี นชน้ิ สำ� คญั คอื Morphology of the Folktale (1928) ซงึ่ เปน็
งานที่การศกึ ษานทิ านพื้นบา้ นของรัสเซีย 167 เรอ่ื ง และได้ค้นพบโครงสรา้ งท่ีทกุ เร่ืองมีรว่ มกัน ได้แก่

            - โครงสร้างของชุดตัวละคร ท่ีประกอบด้วยตัวละคร 7 ประเภท ได้แก่ พระเอก (hero)
ผู้ร้าย (villain) ผู้ให้ (donor) ผู้น�ำสาร (dispatcher) พระเอกตัวปลอม (false hero) ผู้ช่วยเหลือ
(helper) และเจ้าหญิง (princess) และชุดของตัวละครท้ัง 7 ประเภทนี้เป็นโครงสร้างท่ีถูกจัดให้เป็น
พาราดิกมาตกิ สตรัคเจอร์ (paradigmatic structure)

            - โครงสร้างเกี่ยวกับการกระท�ำของตัวละครพบว่ามีฟังก์ชัน ท้ังหมด 31 ฟังก์ชัน อาทิ
แนะนำ� ใหร้ จู้ กั พระเอก พระเอกถกู ขบั ไล่ ผรู้ า้ ยพยายามหลอกลวงเหยอื่ /เจา้ หญงิ ผรู้ า้ ยถกู ลงโทษ พระเอก
ไดแ้ ตง่ งานกบั เจา้ หญงิ และครองบลั ลงั ก์ โดยทงั้ 31 ฟงั กช์ นั นจี้ ะมกี ารเรยี งล�ำดบั กอ่ นหลงั อยา่ งแนน่ อน เชน่
การที่พระเอกและนางเอกไดแ้ ตง่ งานจะไม่เกิดขนึ้ กอ่ นท่ีผู้รา้ ยจะถกู ลงโทษ ลกั ษณะของการน�ำเหตุการณ์
ตา่ งๆ มารอ้ ยเรยี งเขา้ ดว้ ยกนั นเี้ รยี กวา่ ซนิ แทกมาตกิ สตรคั เจอร์ (syntagmatic structure)3 จากโครงสรา้ ง
ท้ังสองข้างตน้ พรอ็ พไดเ้ สนอกฎในการประกอบสรา้ งเรอ่ื งเลา่ (internal logic) ขน้ึ มา 2 กฎ ไดแ้ ก่ กฎ
แหง่ การเลอื กสรร (law of selection) และกฎแหง่ การผสมผสาน (law of combination)

       จุดอ่อนในงานของพร็อพซึ่งได้รับการวิจารณ์จากนักวิชาการกลุ่มหลังโครงสร้างนิยม (Post–
structuralist) คือใชอ้ ตั วสิ ยั ของตนในการตีความหมายเหตุการณ์การกระทำ� ของตัวละครทัง้ 31 ฟงั ก์ชนั
นอกจากนี้ ฟังกช์ นั 31 ฟังกช์ ันน้นั เป็นแค่การอธบิ ายโครงสรา้ ง หรอื ไวยากรณ์ (langue) ไมไ่ ด้พิจารณา
ถึงลีลา (parole) อันเป็นด้านที่ด้ินได้ เช่น การท่ีพระเอกได้รับแหวนนั้น อาจจะถูกตีความให้มีหน้าที่
แตกตา่ งกนั ออกไปในตวั บททแี่ ตกตา่ งกนั เชน่ ในตวั บทหนงึ่ การไดร้ บั แหวนอาจจะหมายถงึ การไดร้ บั ของ
วเิ ศษ แตใ่ นตัวบทหน่งึ อาจจะหมายถึงการไดร้ บั ส่ิงทีเ่ ป็นโทษ อันตราย อนั สามารถท�ำให้ชวี ิตตกตํ่าได้

       (2) โคลด เลว่ี สเทราส์ (Claude Levi-Strauss, 1908-2009) ได้ท�ำการศึกษาโครงสร้าง
การเล่าเรอื่ งของนทิ านปรมั ปรา เรื่องโอดปิ ุส (Odeipus) ในปี ค.ศ. 1958 โดยใช้แนวคดิ เรื่องการเปรียบ
เทยี บความสมั พนั ธแ์ บบคตู่ รงขา้ ม (binary oppositions) พบวา่ โครงสรา้ งของนทิ านปรมั ปราเรอ่ื งโอดปิ สุ
ประกอบด้วยโครงสรา้ ง 2 ขว้ั (set of dichotomies) ซึ่งในแตล่ ะโครงสร้างตา่ งประกอบด้วยชุดความคิด

         3 ความสัมพันธ์แบบซินแทกมาติก คือ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์จากชุดสัญญะที่เลือกไว้มาร้อยเรียงกัน (structural
relations of combination) เปรยี บเสมือนการผสมผสานเสอ้ื ผา้ จดั เส้ือคู่กบั กางเกง เข็มขดั รองเท้า เครอื่ งประดับ ในการเลา่ เรอื่ ง
ในภาพยนตร์อาจเป็นการจับคนู่ างเอกคณุ หนูเอาแตใ่ จตัวเองผ้แู สนรํา่ รวยใหค้ ูก่ บั พระเอกนักต่อสู้ชีวติ ยอดกตญั ญผู ู้มีปมในวัยเด็ก
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33