Page 29 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 29
การศึกษาภาพยนตร์แนวผ้ชู ม 15-19
อย่างไรก็ดี กริปเซริด (Gripsrud, 2000) ตง้ั ข้อสงั เกตว่า การศกึ ษาผรู้ บั สารของภาพยนตรเ์ ร่มิ
ลดลงไปในช่วงทศวรรษท่ี 1950 อันเนื่องมาจากการเติบโตของโทรทศั น์ นักวชิ าการจงึ ใหค้ วามสนใจการ
ชมโทรทศั นแ์ ทน ทำ� ใหแ้ นวคดิ ทฤษฎดี า้ นผชู้ มภาพยนตรใ์ นชว่ งนอ้ี าจไมพ่ บมากนกั รวมถงึ การเตบิ โตของ
การศึกษาภาพยนตร์ในช่วงทศวรรษที่ 1960 ก็มีแนวโน้มการพิจารณาตัวบท ศิลปินผู้ผลิตภาพยนตร์
(auteur) โดยเน้นมิติแง่มุมทางด้านศิลปะ
ยุคที่ส่ี การศึกษาผชู้ มของสำ� นกั สกรีน
ในชว่ งทศวรรษท่ี 1970 แวดวงภาพยนตรเ์ รมิ่ ใหค้ วามสนใจผชู้ มตามสำ� นกั จติ วเิ คราะห์ และสำ� นกั คดิ
ภาพยนตรท์ โ่ี ดดเดน่ เปน็ พเิ ศษ กค็ อื สำ� นกั สกรนี (Screen) สำ� นกั นโี้ ดยหลกั แลว้ สนใจตวั บทของภาพยนตร์
โดยเฉพาะการวิเคราะห์โครงสร้างเชิงสัญญะและภาษา (ภาพยนตร์) ของส�ำนักสัญวิทยา (Semiology)
ทก่ี ำ� ลงั ทำ� หนา้ ทใี่ นการครอบงำ� ความคดิ ของผชู้ มโดยไมร่ ตู้ วั การครอบงำ� ความคดิ นวี้ างอยบู่ นหลกั การของ
หลุยส์ อัลธูแซร์ (Louis Althusser) ท่ีสนใจอุดมการณ์ท่ีถูกผลิตซ้�ำจากสังคมและตัวส่ือมวลชน (เช่น
ภาพยนตร์) ก็หยิบมาผลิตซ้�ำอีกครั้งและส่งผ่านให้แก่ผู้ชม โดยท่ีผู้ชมเองก็จะรับอุดมการณ์เข้าไปใน
จติ ไรส้ ำ� นกึ (ดงั แนวคดิ ของจติ วเิ คราะห)์ และฝงั เขา้ ไปขา้ งในจติ ใจทำ� ใหก้ ลายเปน็ การรบั อดุ มการณส์ งั คม
ไปโดยปรยิ าย ตวั อยา่ งเชน่ ความรกั ชาติ สผี วิ ความเปน็ หญงิ และชาย ทงั้ นี้ การดำ� เนนิ การดงั กลา่ วทำ� ได้
กเ็ นอื่ งมาจากสำ� นกั นเี้ ชอ่ื วา่ การสง่ ผา่ นอดุ มการณล์ กึ ลงไปในจติ ไรส้ ำ� นกึ ทำ� ไดก้ เ็ พราะการผลติ ผา่ นสญั ญะ
ตา่ งๆ เชน่ ภาพและเสยี ง และในโลกของจติ ไรส้ ำ� นกึ กม็ โี ครงสรา้ งสญั ญะทไี่ มแ่ ตกตา่ งไปจากโลกความเปน็
จรงิ ท�ำใหก้ ารรบั สญั ญะเปน็ ไปไดง้ า่ ย
หนง่ึ ในนักวชิ าการทีบ่ ุกเบิกแนวคดิ นกี้ ค็ ือ ลอรา่ มลั วยี ์ (Laura Mulvey) ในชว่ งปี 1975 ในงาน
เรอื่ ง วสิ ชวั่ ร์ เพลสเชอร์ แอนด์ แนราทฟี ซนี มี า่ (Visual Pleasure and Narrative Cinema) ไดป้ ระยกุ ต์
แนวคดิ นแี้ ละนำ� มาอธบิ ายกบั การจอ้ งมองภาพยนตรข์ องผชู้ ม และตง้ั คำ� ถามถงึ มติ เิ ชงิ เพศสภาพโดยเฉพาะ
ผู้ชายเป็นใหญใ่ นภาพยนตร์
งานของเธอเผยใหเ้ หน็ วา่ ภาพยนตรเ์ ปน็ สอื่ ทม่ี าจากอทิ ธพิ ลจากผชู้ ายเปน็ ใหญ่ เปน็ โลกของผชู้ าย
ท้ังผ้กู ำ� กับภาพยนตร์ ตากลอ้ ง ภาพของสตรใี นภาพยนตร์จงึ มีลักษณะของความออ่ นแอ ภาพของผหู้ ญิง
มักจะโป๊เปลือย ถูกท�ำให้กลายเป็นวัตถุทางเพศ ท่ีส�ำคัญคือการถูกจ้องมองท้ังจากผู้ก�ำกับภาพยนตร์
ตากล้อง ดาราชายในภาพยนตร์ด้วยสายตาแบบชาย (male gaze) และรวมไปถึงผู้ชมภาพยนตร์ก็จะ
เปลย่ี นมุมมองการชมภาพยนตร์ให้เปน็ แบบผูช้ าย
อน่ึง การมองผู้ชมตามส�ำนักคิดนี้ แม้ด้านหนึ่งจะสร้างคุณูปการต่อการศึกษาผู้รับสารแนวใหม่
กต็ าม แตก่ เ็ กดิ ขอ้ ถกเถยี งอยา่ งมากทง้ั การมองผรู้ บั สารในฐานะผถู้ กู กระทำ� ทไ่ี รเ้ งอ่ื นไข อกี ทง้ั การวดั ผรู้ บั สาร
ไดย้ ากเพราะในเชงิ จติ วเิ คราะหก์ เ็ ปน็ เรอื่ งเขา้ ใจยากอยแู่ ลว้ เหตนุ ้ี จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ การมองผรู้ บั สารใหมอ่ กี ครงั้
ในยคุ ถดั ไป
ยุคที่ห้า การศกึ ษาผูช้ มของสำ� นักวฒั นธรรมศึกษา
สำ� นกั วฒั นธรรมศกึ ษากำ� เนดิ ขน้ึ ในชว่ งปลายทศวรรษที่ 1960 แลว้ คอ่ ยๆ เตบิ โตขนึ้ มา และโดง่ ดงั
ในทศวรรษที่ 1980 ด้านหนึ่งผลิตซ้�ำแนวคิดอุดมการณ์ท่ีก�ำหนดกดทับมนุษย์ (ดังท่ีกล่าวไปแล้วในยุคที่
ผ่านมา) แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับมิได้เดินตามส�ำนักจิตวิเคราะห์ทั้งหมด แต่เร่ิมกลับไปผนวกกับส�ำนัก