Page 31 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 31
การศกึ ษาภาพยนตร์แนวผชู้ ม 15-21
เรื่องที่ 15.1.4
แนวทางการศึกษาผู้ชมตามแนวคิดอ�ำนาจของผู้รับสาร
และวิธีการศึกษาวิจัย
หวั ขอ้ ทผ่ี า่ นมาการจำ� แนกผชู้ มจะพจิ ารณาตามสำ� นกั คดิ และพฒั นาการ แตส่ ำ� หรบั หวั ขอ้ นเ้ี ปน็ การ
พจิ ารณาผชู้ มตามแนวคดิ อำ� นาจของผรู้ บั สารและวธิ กี ารศกึ ษาวจิ ยั ผรู้ บั สาร ซงึ่ จะมกี ระบวนทศั นท์ แ่ี ตกตา่ ง
กนั อย่างน้อยสามกระบวนทัศน์ ท�ำให้เกดิ การวจิ ยั ผ้รู ับสารที่แตกต่างกัน ดังน้ี
1. กระบวนทัศน์แรก ผู้รับสารในฐานะผู้ถูกกระท�ำ (passive audience)
กระบวนทศั นน์ ถ้ี อื เปน็ กระบวนทศั นท์ จ่ี ะมองผชู้ มหรอื ผรู้ บั สารเปน็ เพยี งปลายทางแหง่ การสอ่ื สาร
อันได้รับอิทธิพลจากแนวคิดอิทธิพลของสื่อ ส�ำนักจิตวิทยาพฤติกรรม ด้วยเหตุน้ีผู้รับสารหรือผู้ชม
ภาพยนตรก์ เ็ ป็นเพียงผู้รับชมและอาจเกดิ การเปลย่ี นแปลงไปตามเนือ้ หาของภาพยนตรเ์ ปน็ ผูก้ ำ� หนดขนึ้
อกี ทงั้ ในฟากของสำ� นกั วพิ ากษซ์ งึ่ ผนวกกบั สำ� นกั จติ วเิ คราะหย์ งั เหน็ พอ้ งดว้ ยวา่ ภาพยนตรเ์ ปน็
เครื่องมือในเชิงอุดมการณ์ที่ผลิตความคิดครอบง�ำผู้คน ดังหลักฐานที่เห็นได้เด่นชัดคือ การใช้ภาพยนตร์
ในการกลอ่ มเกลาใหผ้ คู้ นเชอื่ และหลงตามลทั ธกิ ารเมอื งในชว่ งสงครามและสงครามเยน็ รวมไปจนถงึ สำ� นกั
สกรีน (Screen theory) ที่ระบุไว้ว่า ภาพยนตร์เป็นพื้นที่สอดแทรกและผลิตซ้�ำอุดมการณ์ต่างๆ ให้กับ
ผู้ชมในจิตไร้ส�ำนึก และส�ำหรับส�ำนักสตรีนิยมกับภาพยนตร์ยุคแรกดังแนวคิดของมัลวีย์ (ดังที่กล่าวไป
ขา้ งตน้ ) กเ็ ชอ่ื ว่า ภาพยนตรเ์ ปน็ เครอ่ื งมอื ผลิตซ�้ำความเปน็ ชายทยี่ ่งิ ใหญ่
ส�ำหรับการศึกษาวิจัยผู้รับสารจะมีความแตกต่างกัน หากเป็นกรณีแรกท่ีใช้ส�ำนักจิตวิทยา
พฤติกรรม การวิจัยมักจะใช้การส�ำรวจและการทดลอง เพ่ือแสดงให้เห็นในเชิงปริมาณ โดยใช้ตัวแปรท้ัง
ประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ พื้นที่ท่ีอยู่ สถานภาพ รายได้ เช้ือชาติ ศาสนา มีผลต่อการรับชม
ภาพยนตร์หรือไม่อย่างไร หากเป็นการวิจัยเชิงส�ำรวจ มักจะใช้แบบสอบถามเพื่อช่วยสุ่มตัวอย่าง แต่ถ้า
เปน็ การวจิ ยั เชงิ ทดลองจะดำ� เนนิ การดว้ ยการจดั กลมุ่ ทดลองในหอ้ งทดลอง โดยมฐี านคตวิ า่ การทดลองจะ
มีลกั ษณะเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่า อย่างไรก็ตามกไ็ ด้รับการวพิ ากษ์ตามมาเชน่ กันว่า การทดลองอาจไม่
สามารถวดั ไดก้ บั มนษุ ยท์ ง้ั หมดเพราะมนษุ ยม์ คี วามคดิ และความสมั พนั ธก์ บั สงั คมในชว่ งหลงั จงึ เรมิ่ พฒั นา
ส่สู ถานที่จริงมากขน้ึ แตก่ ็ยงั ถกู มองวา่ ก็ไม่ต่างจากห้องทดลอง
แต่หากเป็นกรณีหลังที่เน้นส�ำนักวิพากษ์ โดยส�ำนักสกรีน การวิจัยจะวางอยู่บนแนวทางการ
วเิ คราะหต์ วั บท (textual analysis) โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื คอื สญั วทิ ยา (semiology) เพอื่ ทจี่ ะชใ้ี หเ้ หน็ โครงสรา้ ง
ภาษาในภาพยนตรท์ ก่ี �ำลังท�ำหนา้ ทีค่ รอบงำ� ความคดิ ของมนุษย์โดยมนุษยไ์ ม่ร้ตู วั เพราะสัญวทิ ยา เชอ่ื ว่า
ภาษาเป็นโครงสร้างแบบหนึ่งที่ก�ำหนดความคิดของมนุษย์ เช่น การก�ำหนดว่ารูปแบบการเรียงประโยค
ประธาน กรยิ า กรรม และในภาพยนตรก์ ็ไมต่ ่างกนั ก็จะมกี ารก�ำหนดโครงสรา้ ง เชน่ การตบแล้วจบู การ