Page 32 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 32

15-22 ทฤษฎีและการวิจารณภ์ าพยนตร์
ใช้ขนาดภาพระยะใกลแ้ ละใชเ้ ลนสซ์ อฟต์ (soft lens) ยามถา่ ยภาพหนา้ นางเอก ท้งั หมดนี้ มิไดเ้ ป็นเรอ่ื ง
ธรรมชาติ แต่เป็นการก�ำหนดความหมายจากสังคมโดยเฉพาะชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงจึงต้องถูกกระท�ำคือ
“จบู ” และตอ้ งทำ� ใหอ้ อ่ นแอดว้ ยเลนสซ์ อฟต์ การวเิ คราะหด์ งั กลา่ วจะทำ� ใหผ้ คู้ นตระหนกั ถงึ การถกู ครอบงำ�
มิเชน่ น้ันกจ็ ะยอมรบั สภาพดงั กลา่ วโดยปรยิ าย

2. กระบวนทัศน์ที่สอง ผู้รับสารในฐานะผู้กระท�ำ (active audience)

       กระบวนทศั นน์ ก้ี อ่ ตวั ขน้ึ มาในชว่ งทศวรรษท่ี 1970 ซง่ึ เรมิ่ มองวา่ ผรู้ บั สารมอี ำ� นาจในฐานะผกู้ ระทำ�
แนวคิดน้ีวางอยู่บนจิตวิทยาพุทธิปัญญาท่ีเชื่อว่า มนุษย์ยังมีความคิดในการรับรู้ไตร่ตรองแล้วจึงน�ำสู่การ
ปฏิบตั ิมากกว่าการมองสง่ิ เร้าส่พู ฤติกรรมแบบเดิม

       ย่ิงไปกว่าน้ัน แนวคิดทฤษฎีที่ก่อตัวในช่วงทศวรรษที่ 1970 ด้านสื่อสารมวลชน ได้แก่ การใช้
ประโยชนแ์ ละพงึ พอใจจากส่อื (uses and gratification approach) การแสวงหาข้อมลู ข่าวสาร (infor-
mation acquisition) ลว้ นแลว้ แตช่ ไี้ ปในทศิ ทางเดยี วกนั วา่ ผรู้ บั สารมอี ำ� นาจในการแสวงหาขอ้ มลู ขา่ วสาร
ดว้ ยตนเอง รวมถงึ การเลอื กเปดิ รบั สอื่ ไปตามความตอ้ งการของตนเอง เหลา่ นเ้ี อง ทำ� ใหผ้ รู้ บั สารกลายเปน็
ผ้มู อี �ำนาจในการเลอื กตดั สินใจด้วยตน รวมไปถึงค่อยๆ เรยี นรสู้ ่ิงท่เี ปิดรับและน�ำไปสกู่ ารเลียนแบบ

       แนวทางการศึกษาผรู้ บั สารบนกระบวนทศั น์นี้ มกั จะใช้การวิจยั เชงิ สำ� รวจและการทดลอง ไม่ต่าง
ไปจากกระบวนทัศน์แรกที่ศึกษาเชิงพฤติกรรม แต่จุดที่อาจแตกต่างกันก็คือ ตัวแปรที่เพ่ิมเติมข้ึนมาน้ัน
นอกเหนือจากประชากรศาสตร์แล้ว ยังเพิ่มตัวแปรด้านจิตวิทยาของผู้รับสาร โดยเฉพาะทัศนคติ ความ
รู้สึก เพื่อที่จะวัดให้เห็นเป็นรูปธรรมให้มากที่สุด นอกจากนั้น อาจใช้การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม
(focus group interview) เพอื่ ให้ไดข้ ้อมลู เชิงลกึ มากขึน้

       อาจกล่าวได้ว่า แนวทางการศึกษาผู้รับสารบนกระบวนทัศน์น้ีค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างสูง
มากกวา่ กระบวนทศั นแ์ รก เพราะอธบิ ายผรู้ บั สารไดช้ ดั เจนมากกวา่ การมองผรู้ บั สารแบบจติ วทิ ยาพฤตกิ รรม
และการมองข้ามตัวแปรด้านความคิดของผู้รับสาร เหตุนี้ นักวิจัยรวมถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์จึงมักจะ
นิยมวิจัยผู้รับสารด้วยแนวทางดังกล่าว เพ่ือจะแสดงให้เห็นว่า ใครคือผู้รับสาร บริโภคภาพยนตร์ด้วย
เปา้ หมายเชน่ ไร และอาจเลยไปจนถงึ การใช้สื่ออะไรทจ่ี ะกระตนุ้ การรับชมแกผ่ ้รู บั สาร

3. กระบวนทัศน์ท่ีสาม ผู้รับสารในฐานะผู้มีอ�ำนาจในการต่อสู้ต่อรอง

       ในขณะทก่ี ระบวนทศั นผ์ รู้ บั สารทง้ั สองมกั จะมองไปคนละทศิ ทาง แตส่ ำ� หรบั กระบวนทศั นท์ ส่ี ามน้ี
ได้ก่อตัวข้ึนบนฐานคิดของส�ำนักวัฒนธรรมศึกษาในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 และกลายเป็นส่ิงที่ได้รับ
ความยอมรบั ในชว่ งทศวรรษที่ 1980 โดยเชอ่ื วา่ แมใ้ นดา้ นหนง่ึ ผรู้ บั สารเองจะมอี ำ� นาจในการเปน็ ผกู้ ระทำ�
(active audience) แต่ในเวลาเดียวกันกม็ อิ าจเพกิ เฉยหรือละเลยต่ออำ� นาจของสังคมท่กี ำ� หนดกดทับตวั
ผู้รับสารไปได้ ส่วนหน่ึงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของอันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) ที่เชื่อว่า
ปัจเจกบุคคลแม้จะถูกกดทับจากอ�ำนาจแต่ก็ยังมีการต่อสู้ต่อรอง น่ันก็หมายความว่า ผู้รับสารหาใช่จะมี
ลกั ษณะทถ่ี กู กระทำ� (passive audience) ไปเสยี ทง้ั หมด ในทศั นะของสำ� นกั นเี้ ชอ่ื วา่ ผรู้ บั สารยงั มอี ำ� นาจ
   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37