Page 28 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 28
15-18 ทฤษฎแี ละการวิจารณ์ภาพยนตร์
พึงประสงค์ข้ึน ณ จุดน้ีเอง จึงท�ำให้มูลนิธิเพย์น (Pyne) เร่ิมเข้ามาวิจัยด้านภาพยนตร์กับอิทธิพล
ตอ่ เยาวชน ในช่วงปี 1929-1932
ผลการวจิ ยั ระบใุ หเ้ หน็ วา่ ภาพยนตรม์ ผี ลตอ่ เยาวชน และสง่ ผลใหเ้ กดิ การควบคมุ ภาพยนตรห์ รอื
การเซน็ เซอรภ์ าพยนตรผ์ ่านกฎหมาย โปรดักช่นั โคด้ (Production Code) ตั้งแตป่ ี 1934 อาจกล่าวได้
วา่ นคี่ อื หนงึ่ ในงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วกบั ผชู้ มในชว่ งแรกของการถอื กำ� เนดิ ภาพยนตร์ หลงั จากนน้ั กเ็ รมิ่ มงี านวจิ ยั
ทย่ี ืนยันให้เหน็ ว่า ภาพยนตร์มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ผชู้ มตามมาอกี มากมาย
นอกเหนอื จากการมองอทิ ธพิ ลของสอื่ แลว้ การทภี่ าพยนตรเ์ รม่ิ กลายเปน็ อตุ สาหกรรมยงั เรมิ่ ทำ� ให้
เกดิ ความสนใจต่อผ้ชู ม ในดา้ นหน่ึงกค็ ือ การส�ำรวจค้นคว้าวา่ ใครคอื ผ้ชู ม ชมอะไร ชมอยา่ งไร และทำ� ไม
จงึ รบั ชม การวจิ ยั ผรู้ บั สารหรอื ผชู้ มจงึ ไดร้ บั การพฒั นาอยา่ งเปน็ ระบบ จากการวจิ ยั เชงิ สำ� รวจสกู่ ารวจิ ยั เชงิ
คุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เน้ือหา การทดลอง การสัมภาษณ์ และแม้กระท่ังการให้ทดลองเขียนบันทึก
ส่วนตวั หลงั การรบั ชม
ตัวอย่างงานวิจัยเช่น การพิจารณาว่า ผู้ชมชายและหญิงจะเลือกชมภาพยนตร์อะไร อีไมล์ อัล
เทนโลห์ (Emilie Altenloh, อา้ งถึงใน Gripsrud, 2000) ศึกษาในชว่ งปี 1914 แสดงใหเ้ หน็ ว่า ผชู้ าย
ชอบดภู าพยนตรท์ ว่ั ไป แตส่ ำ� หรบั สตรจี ะมรี สนยิ มกบั ภาพยนตรเ์ พลงและชวี ติ นอกจากนน้ั ยงั ชใี้ หเ้ หน็ วา่
ภาพยนตร์มีบทบาทที่ท�ำให้ผู้ชมขยายประสบการณ์ชีวิตได้อีกด้วย แนวคิดดังกล่าวต่างไปจากการท่ีมอง
ภาพยนตร์สร้างอิทธิพลแตด่ า้ นลบ
ยุคท่ีสาม การเรียนรู้เลยี นแบบและการใชป้ ระโยชน์และความพึงพอใจในสอื่ ภาพยนตร์
ในขณะทย่ี คุ ทส่ี อง การมองภาพยนตรก์ บั ผชู้ มวางอยบู่ นสำ� นกั จติ วทิ ยาพฤตกิ รรมและอทิ ธพิ ลของ
ส่ือ แต่สำ� หรับในยุคทีส่ าม การให้ความสำ� คัญตอ่ อทิ ธิพลของสอื่ เริ่มแปรเปล่ยี นไปสกู่ ระบวนทศั น์ใหม่ คอื
อิทธิพลของส่ือที่อาจมีจ�ำกัด ส่วนหน่ึงมาจากการเติบโตของโทรทัศน์ในช่วงทศวรรษท่ี 1950 ท�ำให้
นักวิชาการสนใจผู้ชมกับโทรทัศน์และพัฒนาตัวทฤษฎีมาอธิบายสื่อโทรทัศน์ ส�ำนักจิตวิทยาพุทธิปัญญา
ยงั เขา้ มาชว่ ยอธบิ ายปจั จยั ทางจติ ของมนษุ ยท์ ซี่ บั ซอ้ นมากกวา่ ส�ำนกั พฤตกิ รรมทำ� ใหค้ น้ พบวา่ สอื่ อาจมไิ ด้
มีอิทธิพลในการเปล่ียนแปลงท้ังหมดโดยทันทีแต่จะต้องผ่านกระบวนการคิดทางจิตก่อนและใช้ระยะเวลา
ส่วนหน่ึง
แนวคิดที่ส�ำคัญท่ีปรากฏขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ การเรียนรู้และการเลียนแบบ (Social
Learning and identification) ในงานของแบนดูรา (Bandura) ในชว่ งทศวรรษที่ 1970 เร่ิมชใี้ หเ้ หน็ ว่า
การดูโทรทัศน์ (รวมไปถงึ การชมภาพยนตร์) ส่งผลทำ� ใหผ้ ู้ชมค่อยๆ ได้เรียนรู้ นำ� มาขบคดิ และนำ� ไปสู่
การเลยี นแบบได้ แต่ปรากฏการณ์ดงั กลา่ วอาจมิได้เป็นไปในทนั ที ต้องมกี ระบวนการคิด ตัดสินใจ อีกท้ัง
มีเง่ือนไขบางอย่างท่ีท�ำให้ผู้ชมน�ำไปสู่การเรียนรู้และการเลียนแบบได้ เช่น ตัวแบบต้องมีความน่าสนใจ
การใหร้ างวัลของสงั คมอนั จะทำ� ใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลง
ในชว่ งเวลาใกลเ้ คยี งกนั แคทซ์ (Katz) กพ็ ฒั นาแนวคดิ การใชป้ ระโยชนแ์ ละความพงึ พอใจ (uses
and gratification approach) ท่ชี ้วี า่ ผ้ชู มมอี �ำนาจในการเลือกใชส้ ่อื ตามความพงึ พอใจของตนท�ำให้เกิด
การน�ำมาอธิบายกับส่ือภาพยนตร์ได้ด้วย ในจุดน้ีเองถือเป็นการเปล่ียนกระบวนทัศน์การมองผู้ชมจาก
ผถู้ กู กระทำ� เปน็ ผกู้ ระทำ� ในครงั้ แรก แนวคดิ ทง้ั สองนถ้ี อื เปน็ หวั ใจส�ำคญั ทนี่ ำ� มาใชว้ เิ คราะหผ์ รู้ บั สารในยคุ หลงั