Page 26 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 26

15-16 ทฤษฎีและการวิจารณภ์ าพยนตร์
       2. ยุคทฤษฎกี ระสุนปนื มหัศจรรย์ (Magic Bullet theory) เป็นยุคทใี่ ห้ความสนใจผูร้ ับสารใน

ฐานะผู้ถูกกระท�ำและเชื่อตามสิ่งท่ีส่ือมวลชนน�ำเสนอประดุจดังการฉีดยาหรือกระสุนปืนที่ยิงมาแล้วท�ำให้
ผู้รับสารเปล่ียนแปลง แนวคิดน้ีเกิดข้ึนโดยได้รับแรงสนับสนุนจากส�ำนักจิตวิทยาพฤติกรรม อีกทั้งบริบท
สังคมทีเ่ ร่มิ ก้าวสู่สังคมอตุ สาหกรรมและช่วงสงครามโลกครง้ั ทห่ี นง่ึ และสอง

       3. ยุคกระบวนทัศนผ์ ลกระทบอันจำ� กัดของส่อื (Limited Effect paradigm) เปน็ ยคุ ที่ให้ความ
สนใจต่อการศึกษาผู้รับสารอย่างมาก และโต้แย้งแนวคิดยุคท่ีสองหรือทฤษฎีกระสุนปืนว่า ส่ือมวลชน
ไมอ่ าจทำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงไดท้ งั้ หมด ผรู้ บั สารอาจมกี ารรบั สารทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป ทง้ั ในเชงิ โครงสรา้ ง
และจิตวิทยาของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะการได้รับอิทธิพลของส�ำนักจิตวิทยาพุทธิปัญญา จึงต้องมีการ
ออกแบบสอ่ื และสารเพอ่ื ใหเ้ กดิ การโนม้ นา้ วใจของผรู้ บั สารใหม้ ากทส่ี ดุ ดงั เชน่ แนวคดิ ดา้ นการรณรงค์ และ
การสอื่ สารการตลาด

       นอกจากนนั้ ผรู้ บั สารอาจมไิ ดเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงไปในทเี ดยี ว แตอ่ าจมลี กั ษณะคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป
หากมกี ารบริโภคสอ่ื เป็นระยะเวลาอันยาวนาน และการน�ำไปสกู่ ารเลียนแบบพฤตกิ รรมได้ ดงั ทฤษฎีการ
เรยี นรแู้ ละการเลียนแบบ (Social Learning theory and identification) ของแบนดรู า (Bandura)

       4. ยุคผู้รับสารผู้กระตือรือร้น (active audience) เป็นยุคท่ีได้รับอิทธิพลจากยุคที่ผ่านมาและ
พฒั นาขึน้ วา่ ผู้รบั สารเองก็ยังมสี ทิ ธิทเี่ ลอื กรับสาร เลอื กเปิดรับสื่อ เลอื กเช่ือ และเลือกจดจำ� จงึ ท�ำใหเ้ กดิ
การมองผู้รับสารในฐานะผู้กระท�ำ นอกจากนั้นด้วยการพัฒนาของแนวคิดการใช้และความพึงพอใจของ
ผ้รู บั สาร (uses and gratification approach) ผรู้ ับสารไดร้ ับการพัฒนาตามส�ำนกั จิตวิทยาว่า ผรู้ บั สาร
สามารถเลือกเปดิ รบั เลือกสอ่ื เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของตนเอง อันอาจถือได้ว่า เปน็ การมองผู้รบั
สารทเ่ี ปน็ ผูม้ อี �ำนาจในการกระทำ� สูงสุด

       5. ยคุ การยอ้ นคนื ถึงพลังของสือ่ มวลชน แนวคิดในยคุ น้เี ริม่ ตน้ ในชว่ งทศวรรษที่ 1960 โดยต้งั ขอ้
สงั เกตวา่ สอื่ (โดยเฉพาะโทรทัศน์) เร่มิ กระจายตัวในครัวเรอื นและชวี ิตประจำ� วนั ยงั ผลใหเ้ กดิ อทิ ธิพลต่อ
ผ้รู บั สารอย่างสูง ดังเชน่ การก�ำหนดวาระส่อื (agenda setting) ของโคเฮน (Cohen) การปลูกฝังความ
เป็นจริง (Cultivation theory) ของเกอร์บเนอร์ (Gerbner) แนวคิดดังกล่าวล้วนแล้วแต่มองผู้รับสาร
อ่อนแอถูกก�ำหนดจากสงั คม

       6. ยคุ สำ� นกั วัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies) โดง่ ดงั ในทศวรรษที่ 1980 เป็นสำ� นักคดิ ทเ่ี รม่ิ
ตั้งค�ำถามถึงพลังของผู้รับสาร ซ่ึงอาจมิใช่จะมีอ�ำนาจทั้งหมด เพราะในอีกด้านหน่ึงก็ยังต้องพิจารณาถึง
อ�ำนาจของสงั คมทก่ี ำ� หนดกดทับผคู้ น เหตุนี้ การศึกษาส�ำนกั นีจ้ งึ มักจะพจิ ารณาถึงการก�ำหนดของสงั คม
ทม่ี ตี อ่ ผรู้ บั สาร และในเวลาเดยี วกนั กพ็ จิ ารณาวา่ ผรู้ บั สารจะสามารถตอ่ สตู้ อ่ รองความหมายทส่ี งั คมกำ� หนด
ได้หรือไม่ หากได้เพราะอะไร และหากไม่ได้นน้ั ดว้ ยเหตผุ ลใด

       จากการอธบิ ายผรู้ บั สารของนกั วชิ าการดา้ นสอื่ สารมวลชนขา้ งตน้ ในล�ำดบั ถดั ไปน้ี จะนำ� แนวทาง
ดังกล่าวมาเป็นฐานและประยุกต์ให้เข้ากับการศึกษาผู้ชมภาพยนตร์ท่ีมีเอกลักษณ์การศึกษาต่างกันไป
นอกจากน้นั ในทีน่ ้จี ะยงั จะใชง้ านของ กริปเซรดิ (Gripsrud, 2000) และโวจิค (Wojcik, 2007) มาเทียบ
เคียงและประยุกตใ์ หเ้ หน็ พัฒนาการของการศกึ ษาผู้ชมภาพยนตรไ์ ด้ดังตอ่ ไปน้ี
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31