Page 33 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 33

การศกึ ษาภาพยนตรแ์ นวผชู้ ม 15-23
ในการตอ่ สตู้ อ่ รอง ดงั แนวคดิ ของสจว๊ ต ฮอลล์ (Stuart Hall) ทเี่ ชอ่ื วา่ ผชู้ มจะมมี มุ มองทที่ งั้ เหน็ ดว้ ย ปฏเิ สธ
และตอ่ รอง โดยขน้ึ อยูก่ บั ประสบการณ์ของแตล่ ะกล่มุ บคุ คล

       การศึกษาภาพยนตร์แนวนี้ยังได้รับอิทธิพลจากการเติบโตของกลุ่มแฟน (fan) และแฟนศึกษา
(Fan Studies) ทใ่ี หค้ วามสนใจตอ่ บรรดาผชู้ นื่ ชอบในภาพยนตร์ ทนี่ อกจากการบรโิ ภคดว้ ยความหลงใหล
แต่ยังก้าวไปสู่การเป็นผู้รับสารที่กระตือรือร้นด้วยการแสวงหาข้อมูลข่าวสารของภาพยนตร์ท่ีตนรัก การ
เดินทางไปยังสถานที่ถา่ ยท�ำ และน�ำไปส่กู ารก้าวไปสู่การเปน็ ผู้สร้างส่อื ใหม่บนฐานของส่อื ภาพยนตร์ของ
กลุ่มแฟน

       ยง่ิ กวา่ นนั้ ดว้ ยการเตบิ โตของระบบโลกาภวิ ตั นแ์ ละเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารทกี่ า้ วหนา้ การพจิ ารณา
ผู้ชมในส�ำนักน้ีก็ย่ิงขยายขอบเขตท่ีกว้างขึ้น เช่น การศึกษาผู้ชมที่สร้างเน้ือหาภาพยนตร์ได้ด้วยตนเอง
การบริโภคภาพยนตร์แบบใหม่ที่อาจไม่ใช่การรับชมแต่ในโรงภาพยนตร์แต่สามารถรับชมในพ้ืนท่ีท่ีหลาก
หลาย และรวมถงึ การบรโิ ภคภาพยนตรข์ องผรู้ บั สารในแตล่ ะพน้ื ทข่ี องโลกทอ่ี าจมคี วามแตกตา่ งกนั ไป แต่
ท้งั น้ี ก็ยงั คงตอ้ งเกยี่ วพันกับมิตเิ ชิงอำ� นาจทกี่ ดทบั ผรู้ ับสารเหล่าน้จี นผรู้ ับสารตอ้ งออกมาตอ่ ส้ตู อ่ รอง

       ด้วยเหตุนี้ กระบวนทัศน์ท่ีสาม จึงค่อนข้างเน้นมิติเชิงอ�ำนาจทั้งในฟากของอ�ำนาจท่ีกดทับและ
อ�ำนาจที่ต่อสู้ของผู้รับสาร ซึ่งถือเป็นการประสานและต่อรองกระบวนทัศน์สองด้าน และเป็นประโยชน์ใน
การวิเคราะห์ผู้รับสารในปจั จุบนั ทต่ี อ้ งพจิ ารณาถงึ บรบิ ทของผู้รับสารควบคู่ไปกบั การพจิ ารณาถงึ การต่อสู้
ต่อรองของผู้รับสาร

       วิธีการศึกษาผู้รับสารบนกระบวนทัศน์ท่ีสามน้ี นอกเหนือจากการวิจัยเชิงส�ำรวจ การสัมภาษณ์
การสมั ภาษณก์ ลมุ่ และการวเิ คราะหต์ วั บท เพอ่ื ชใี้ หเ้ หน็ อำ� นาจทคี่ รอบงำ� ผรู้ บั สารแลว้ ยงั มกั จะใชแ้ นวทาง
ของสำ� นักวฒั นธรรมศึกษา (Cultural Studies) เปน็ หลัก นน่ั กค็ ือ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา (ethnography)

       แนวทางการวจิ ยั แบบชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา เปน็ แนวทางทพี่ ฒั นาขน้ึ จากฟากของมานษุ ยวทิ ยา ทใ่ี ห้
ความสนใจศกึ ษาผู้คนในพื้นท่ีชมุ ชนท่เี กิดเหตกุ ารณจ์ รงิ ดว้ ยการติดตามเฝ้าดูอย่างละเอียด เพราะเช่ือว่า
การติดตามเฝ้าดูอย่างละเอียดจะท�ำให้เห็นลักษณะการใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากท่ีสุด ต่างจาก
การทดลองทีอ่ าจไม่ไดอ้ ยใู่ นชวี ิตจริง นอกจากนนั้ ยังเห็นการตอ่ รองเชิงอำ� นาจตา่ งๆ ท่ผี ูค้ นจะใช้ในชีวิต
ประจำ� วนั ด้วย เม่ือนักวิจัยอยู่ในพ้ืนท่ีและเข้าใจดีแล้วก็จะน�ำไปสู่การเขียนเร่ืองราวต่างๆ ขึ้นมา จึงท�ำให้
ไดช้ อื่ วา่ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา หรอื การเขยี นเรอ่ื งราวของชาตพิ นั ธ์ุ ซง่ึ มกั จะมาจากมมุ มองของคนในคอ่ นขา้ งมาก

       จากแนวคิดดังกล่าวนักวิชาการส�ำนักวัฒนธรรมศึกษา จึงได้น�ำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาการ
บรโิ ภคสอ่ื ของผรู้ บั สารวา่ หากเราเพยี งทดลองหรอื การวจิ ยั เชงิ ส�ำรวจ อาจมองไมเ่ หน็ ถงึ บรบิ ทของผรู้ บั สาร
วา่ จะมลี กั ษณะการบรโิ ภคสื่ออยา่ งไร การบรโิ ภคน้ันเก่ยี วโยงกบั อำ� นาจด้วยหรือไม่ นอกจากน้ัน ยังเลย
ไปถงึ บริบทเชิงสงั คม (social context) ว่า เก่ยี วข้องกับการบริโภคสือ่ อย่างไร นักวชิ าการที่ริเร่มิ แนวคดิ
ดังกล่าวก็คือ เดวิด มอร์เล่ย์ (David Morley) ศึกษาการดูโทรทัศน์และพบว่า การศึกษาบริบทของ
การดโู ทรทัศน์ในบา้ นท�ำใหพ้ บเหน็ การผลติ ซำ้� เชงิ อำ� นาจของผู้ชายเป็นใหญใ่ นระหว่างการรับชมโทรทัศน์
ในขณะทผี่ ชู้ ายทเ่ี ปน็ หวั หนา้ ครอบครวั มกั จะดโู ทรทศั นเ์ พอ่ื การพกั ผอ่ นและมอี ำ� นาจในการนง่ั ชม เปลยี่ นชอ่ ง
และถือรีโมต ในทางกลับกันผู้หญิงกลับเป็นเพียงผู้ต้องช�ำเลืองดูทีวี หรือต้องท�ำภารกิจงานบ้านไปพลาง
ในระหวา่ งรบั ชม
   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38