Page 37 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 37

การศึกษาภาพยนตร์แนวผู้ชม 15-27

เรื่องที่ 15.2.1
การศึกษาผู้ชมในยุคก่อนส�ำนักวัฒนธรรมศึกษา

       การศึกษาผู้ชมในกลุ่มนี้อาจถือได้ว่า เป็นการมองผู้ชมในแวดวงของศิลปะภาพยนตร์และ
อตุ สาหกรรมภาพยนตร์ การทำ� ความเขา้ ใจกลมุ่ ผชู้ มแนวนกี้ เ็ พอื่ จะนำ� ไปสกู่ ารผลติ ภาพยนตรท์ ด่ี แี ละดงึ ดดู
ผชู้ มให้มากที่สดุ ในทน่ี สี้ ามารถจดั กลุ่มการศกึ ษาผู้ชมภาพยนตรย์ ่อยออกเปน็ ส่กี ลมุ่ โดยใชเ้ กณฑ์ศาสตร์
ดา้ นจิตวทิ ยาควบค่กู บั ทฤษฎีดา้ นสงั คมศาสตร์ ดังน้ี

1. การศึกษาผู้ชมภายใต้ส�ำนักจิตวิทยาเกสตัลท์และศิลปะภาพยนตร์

       ในยคุ ถอื กำ� เนดิ ของภาพยนตรอ์ าจถอื ไดว้ า่ เปน็ ชว่ งเวลาทศี่ ลิ ปนิ ใหค้ วามส�ำคญั ตอ่ การสรา้ งสรรค์
ภาพยนตร์เพื่อดึงดูดใจผู้ชม นั่นก็หมายความว่า จะให้ความส�ำคัญต่อตัวสารและสื่อมากกว่าตัวผู้รับสาร
แต่อยา่ งไรก็ดี นกั วชิ าการท่ีชอ่ื ฮูโก มนุ สเตอร์เบิรก์ (Hugo Musterberg) นกั จิตวทิ ยาแหง่ มหาวิทยาลัย
ฮาเวิรด์ กลับเป็นนักวชิ าการแหง่ สำ� นักจิตวทิ ยาเกสตัลท์ (Gestalt School) ท่ีให้ความสนใจความสมั พันธ์
ระหวา่ งภาพยนตรก์ บั ผูช้ มเปน็ คนแรกๆ

       ในหนงั สือท่ีเขาเขียนเรอื่ ง เดอะ โฟโต้เพลย์ (The Photoplay: A Psychological Study) ใน
ปี 1916 เผยให้เห็นถึงลักษณะของผู้ชมต่อสื่อภาพยนตร์ว่า การรับชมภาพยนตร์น้ันมีความเกี่ยวพันกับ
กระบวนการทางจติ เพราะผูช้ มในขณะรบั ชมภาพยนตรก์ จ็ ะตอ้ งมีจินตนาการ มีความจดจำ� ความรสู้ กึ ตอ่
ภาพ(ลวงตา)ทไ่ี ดเ้ หน็ และนำ� ไปสอู่ ารมณค์ วามรสู้ กึ ทผ่ี ผู้ ลติ ตอ้ งการ ทงั้ ๆ ทใ่ี นความเปน็ จรงิ นน้ั ภาพทเี่ หน็
เปน็ เพยี งภาพสองมติ ิ มไิ ดม้ กี ารเคลอื่ นไหวจรงิ แตอ่ ยา่ งไร แตด่ ว้ ยเทคนคิ ของภาพยนตรท์ ใี่ ชแ้ สงเงา มมุ มอง
ช่วยท�ำให้ภาพสองมติ กิ ลายเปน็ ภาพสามมิติ และภาพทไี่ ม่ได้เคล่ือนไหวแต่เมอ่ื นำ� มาหมุนดว้ ยความเรว็ ก็
ทำ� ให้เกิดภาพตดิ ตา (persistent of vision) ท�ำใหห้ ลอกตาของผชู้ มว่าภาพทั้งหมดกำ� ลงั เคลอ่ื นไหว

       ภาพยนตร์ใช้ศาสตรข์ องการเล่าเรื่อง ท�ำให้ผู้ชมเหน็ อดีต ปัจจบุ ัน อนาคต ผา่ นการใช้ภาพ การ
เคลือ่ นไหวของกลอ้ ง การตัดต่อ และท�ำใหผ้ ชู้ มสามารถตระหนัก รบั รู้ และจนิ ตนาการไปได้วา่ เร่อื งราว
ท่ีไดร้ ับชมนั้นอยใู่ นภาวะห้วงเวลาใด และบ่งบอกความรู้สึกเชน่ ไร

       ส่วนในด้านของผู้ผลิต ในทัศนะของมุนสเตอร์เบิร์กภาพยนตร์เป็นเสมือนศิลปะแบบใหม่ท่ีช่วย
ก�ำหนดการชมของผู้ชม ผ่านการใช้ภาพ การตัดต่อ การเปลี่ยนฉาก การก�ำหนดผู้ชมให้ใจจดจ่อต่อการ
ถ่ายภาพในระยะต่างๆ ซ่ึงท้งั หมดน้จี ะมคี วามแตกต่างไปจากละครเวที

       ในช่วงเวลาต่อมา รูดอล์ฟ อาร์นไฮม์ (Rudolf Arnheim) นักวิชาการส�ำนักจิตวิทยาเกสตัลท์
อกี ทา่ นหนง่ึ กใ็ หก้ ารสนบั สนนุ แนวคดิ ขา้ งตน้ โดยเขยี นหนงั สอื ชอ่ื ฟลิ ม์ แอส อารท์ (Film as Art, 1933)
ในทัศนะของเขา ช่วงเวลาการศึกษาภาพยนตร์ในเวลาดังกล่าวคือ ทศวรรษท่ี 1920 ภาพยนตร์ยังไร้ซึ่ง
เสยี งและสที �ำให้ผูช้ มจะตอ้ งสร้างจินตนาการเพือ่ ให้รู้สกึ วา่ สง่ิ ท่เี หน็ นนั้ สมจรงิ โดยสรา้ งความรูส้ กึ ชดเชย
ขึน้ ในจิตใจ
   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42