Page 39 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 39
การศึกษาภาพยนตรแ์ นวผ้ชู ม 15-29
ถงึ กรณขี องความปลอดภยั ในการเขา้ ชมในโรงภาพยนตร์ เนอ่ื งดว้ ยแนวคดิ สงั คมมวลชน (mass society)
ระบุถึงผู้คนท่ีอพยพเข้าเมืองจะมีลักษณะกระจัดกระจาย ขาดสายสัมพันธ์กัน เม่ือบริโภคสื่อก็จะขาดการ
ตดั สินใจและถกู โนม้ นา้ วได้ง่าย
การมองอทิ ธพิ ลของภาพยนตรต์ อ่ ผชู้ ม ยงั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากงานของมนุ สเตอรเ์ บริ ก์ ขา้ งตน้ ทมี่ อง
วา่ ผชู้ มจะนำ� ตนเองเขา้ ไปสใู่ นโลกของภาพยนตรท์ ช่ี มและยอมรบั มนั และอกี สว่ นมาจากขอ้ วติ กของสำ� นกั
จติ วิทยาพฤตกิ รรมนิยมทม่ี องวา่ สื่ออาจเปน็ สิง่ เรา้ และกอ่ เกดิ พฤตกิ รรมต่อผชู้ ม กลา่ วคอื เมื่อฉายหนังก็
จะสง่ ผลใหเ้ กดิ ปฏกิ ริ ยิ าบางอยา่ งตาม ควบคกู่ บั การกอ่ กำ� เนดิ ของทฤษฎเี ขม็ ฉดี ยาหรอื กระสนุ ปนื มหศั จรรย์
(Magic Bullet theory, Hypodermic Needle theory) ท่ีมองพลังของสื่อเป็นหลัก โดยเน้นว่า เมื่อ
บุคคลเปิดรับส่ือก็เสมือนกับถูกเข็มฉีดยาหรือกระสุนปืนมหัศจรรย์ที่ฝังเข้าร่าง ท้ังหมดนี้จึงก่อให้เกิดการ
ทำ� วจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั อทิ ธพิ ลของสอื่ ภาพยนตร์ โดยเฉพาะตอ่ เยาวชนในชว่ งทศวรรษที่ 1920 ผลการวจิ ยั
ในยุคแรกช้ีไปว่าภาพยนตร์ส่งอิทธิพลต่อเยาวชนโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ท�ำผิด แต่ท่ีได้รับการกล่าวขวัญ
อยา่ งสูงคอื การวิจยั ของมลู นิธเิ พย์น (Pyne) ในสหรฐั ฯ ทสี่ นใจอทิ ธพิ ลภาพยนตร์ต่อเยาวชน
มลู นิธิเพย์น (Pyne Fund) ได้จา้ งวิลเลีย่ ม ชอรต์ (Willaim Short) ซึง่ เป็นผอู้ ำ� นวยการองค์กร
โมชั่น พคิ เจอร์ รเี สริช คลั ซลิ่ (Motion Picture Research Council) มาเปน็ ผวู้ ิจยั เกยี่ วกับอิทธิพลของ
สอ่ื ภาพยนตร์ ท้ังนี้ ตัวเขาเองกม็ คี วามเช่อื เกี่ยวกับอิทธิพลของสอ่ื ภาพยนตร์โดยเฉพาะในดา้ นการศกึ ษา
และจริยธรรมแก่เยาวชน เหตุนี้จึงได้รวบรวมนักวิจัยท่ีหลากหลายท้ังด้านการศึกษา สังคมวิทยา และ
จติ วทิ ยามาร่วมวจิ ยั เกยี่ วกบั อิทธิพลของภาพยนตรต์ ่อเยาวชนอเมริกนั ในช่วงปี 1929-1932 ด้วยแนวทาง
ท่ีหลากหลายท้ังการวิเคราะห์เนื้อหา การวิจัยเชิงส�ำรวจขนาดใหญ่ การวิจัยเชิงทดลอง การสังเกต การ
เกบ็ รวบรวมขอ้ เขยี นของผชู้ มหลงั จากรบั ชม (written movie autobiographies) ผลการวจิ ยั กต็ พี มิ พข์ นึ้
สามช่วงในปี 1933, 1935 และ 1937
งานดังกล่าวตอกย�้ำความคิดท่วี า่ ภาพยนตรส์ ่งผลกระทบต่อเยาวชนท้งั ในดา้ นทศั นคติ อารมณ์
สุขภาพจติ และพฤตกิ รรม ในทศั นะของบลัมเมอร์ (Blumer อา้ งถึงใน Gripsrud, 2000) หน่ึงในนกั วิจัย
ชว้ี า่ ดว้ ยเทคนคิ การผลติ ภาพยนตรท์ ำ� ใหผ้ ชู้ มไดห้ ลดุ เขา้ ไปในภาพยนตรแ์ ละมคี วามรสู้ กึ รว่ มตอ่ ภาพยนตร์
ยง่ิ กวา่ นนั้ ภาพยนตรย์ งั อาจสรา้ งความสบั สนตอ่ ผชู้ มใหแ้ สดงพฤตกิ รรมเชงิ ลบโดยอาจมองวา่ เปน็ สง่ิ ทนี่ า่
ดึงดูด ผลกระทบที่ตามมาจากงานวิจัยช้ินนี้ท�ำให้เกิดการจัดระบบเรตภาพยนตร์แก่ผู้ชมเพื่อการควบคุม
ภาพยนตร์ อน่ึง การตั้งข้อสังเกตของบลมั เมอรน์ ้นั กริปเซริด (Gripsrud, 2000) ชี้วา่ อาจมไิ ดเ้ ป็นไป
ตามสำ� นกั จติ วทิ ยาพฤตกิ รรมนยิ มทง้ั หมด แตย่ อ้ นไปผนวกกบั แนวคดิ ของมสุ เตอรเ์ บริ ก์ (Munsterberg)
ทีใ่ ห้ความสนใจจติ วิทยาพทุ ธปิ ัญญา ซึ่งให้ความสนใจตอ่ ความคดิ และอารมณค์ วามรู้สกึ
แม้จะดูเหมือนว่า การมองผู้รับสารโดยเฉพาะเยาวชนประหน่ึงผู้อ่อนแออาจเป็นเร่ืองท่ีแปลกใน
ปัจจุบนั เพราะในปัจจุบนั เร่ิมมงี านวิจยั ชไ้ี ปว่า ผูช้ มอาจมิได้ออ่ นแอเสมอไป แต่หากยอ้ นกลบั ไปทีบ่ ริบท
ของสังคมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ท่ีสังคมเพ่ิงจะเริ่มเป็นสังคมอุตสาหกรรม การวิจัยด้านผู้รับสารท่ีเป็น
ระบบมีน้อย และท่ีส�ำคัญคือ ปรากฏการณ์สงครามโลกคร้ังที่หนึ่งและสองได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ
สื่อมวลชนในฐานะสอื่ ที่ทำ� หน้าท่ีโฆษณาชวนเช่อื (propaganda) และหน่ึงในน้ันก็คือ ภาพยนตร์ท่สี ง่ ผล
ตอ่ การเปลยี่ นแปลงความคดิ ของผคู้ นในยามสงครามทง้ั ในโลกประชาธปิ ไตยและโดยเฉพาะโลกสงั คมนยิ ม