Page 43 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 43
การศกึ ษาภาพยนตร์แนวผชู้ ม 15-33
อนงึ่ แมจ้ ะเรม่ิ มองผรู้ บั สารในฐานะผกู้ ระทำ� ในชว่ งทศวรรษท่ี 1960 แตก่ ม็ ไิ ดห้ มายความวา่ ผรู้ บั สาร
จะเปน็ ผมู้ อี ำ� นาจทง้ั หมด ในชว่ งเวลาถดั มาทศวรรษท่ี 1970 นกั วชิ าการดา้ นสอ่ื สารมวลชนกพ็ ฒั นาแนวคดิ
การมองผู้รับสารเพ่ิมเติม ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของส่ือโทรทัศน์ที่มาแรงในยุคน้ันและก้าวสู่พ้ืนท่ีใน
บา้ น ณ จุดนเี้ อง ผู้รับสารจงึ มีพฤติกรรมการรบั ชมท่ีต่างจากภาพยนตร์ นั่นก็คือ การรับชมอย่างต่อเน่อื ง
ทุกวันจนกลายเป็นผู้รับสารที่ชมอย่างหนัก (heavy user) ท�ำให้มีการค้นคว้าอีกคร้ังว่า สื่อ (โทรทัศน์)
รวมถึงสื่ออื่นๆ จะมีอิทธิพลหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะในงานของแบนดูรา (Bandura) และเกิร์บเนอร์
(Gerbner)
ภายใต้แนวคิดการเรียนรู้ทางสังคมและการเลยี นแบบ (Social Learning theory และ Identi-
fication) ในงานของแบนดูรา ในทศวรรษที่ 1970 ชใ้ี ห้เหน็ วา่ โทรทศั นส์ ามารถทำ� หนา้ ท่ีอบรมบ่มเพาะ
ผคู้ น และไดส้ รา้ งตน้ แบบแหง่ การเรยี นรใู้ หแ้ กผ่ ชู้ ม เมอื่ ไดช้ มเปน็ ประจำ� แลว้ ผชู้ มกจ็ ะสงั เกตเหน็ สง่ิ ตา่ งๆ
ในนั้น และสิ่งน้ันมีความน่าสนใจ ก็จะเริ่มจดจ�ำ ผู้ชมท่ีมีแรงจูงใจบางอย่างก็อาจก้าวไปสู่การเลียนแบบ
พฤติกรรมท่ีเห็นได้ เช่น สังคมบอกว่า ส่ิงท่ีท�ำน้ันเป็นส่ิงที่ดีได้รับการยอมรับ เช่น เห็นพระเอกช่วยคน
ได้รบั เสียงปรบมอื พอ่ แม่ก็ช่นื ชม ผูช้ มกอ็ าจน�ำไปสกู่ ารเลยี นแบบนัน้ ในทางกลับกัน แมว้ า่ ส่งิ ทเี่ หน็ อาจ
น่าสนใจ แต่หากสังคมไม่มีแรงกระตุ้นหรือบอกว่า พฤติกรรมผู้ร้ายนั้นเลวทรามต้องได้รับการลงโทษ
พฤตกิ รรมเลียนแบบก็จะไมเ่ กิดขึน้ ทั้งหมดนั้น เกดิ ข้นึ มาเพราะกระบวนการทางจิตควบคู่กับสังคม
ส�ำหรบั งานของเกอร์บเนอร์ (Gerbner) ศกึ ษาผ้ชู มโทรทศั นใ์ นช่วงทศวรรษท่ี 1970 เช่นกัน และ
มองวา่ สอื่ โทรทศั นม์ กั จะนำ� เสนอความรนุ แรง ไมต่ า่ งจากในอดตี ทภ่ี าพยนตรเ์ คยทำ� มา แตส่ งิ่ ทเ่ี กอรบ์ เนอร์
ตงั้ ขอ้ สงั เกตก็คอื การน�ำเสนอดงั กล่าวนั้นมลี ักษณะท่เี รียกวา่ “นาํ้ หยดลงหิน” กล่าวคือ มาบอ่ ย และยงิ่
ผู้รับสารเป็นผู้ที่ชมอย่างสม่ำ� เสมอก็ย่อมมีโอกาสที่จะน�ำไปสู่การที่สื่อมวลชนจะสร้างโลกความเป็นจริงข้ึน
มา จึงพัฒนาทฤษฎกี ารปลกู ฝงั ความเปน็ จรงิ (Cultivation theory) ขน้ึ
แนวคดิ นมี้ องวา่ ผรู้ บั สารกอ็ าจมไิ ดม้ ภี าวะของการเปน็ ผกู้ ระทำ� แตย่ อ้ นกลบั มาวา่ เปน็ ผถู้ กู กระทำ�
ทงั้ น้ี กเ็ นื่องมาจากโลกของโทรทศั น์ไดค้ บื คลานเข้าหาผู้ชมอยา่ งสูง และจากการวิจัยก็ชี้ให้เหน็ วา่ ในโลก
โทรทศั นน์ ำ� เสนอความรนุ แรง อาชญากรรม และรวมถงึ ประเดน็ เรอ่ื งเพศ อนั ท�ำใหผ้ ชู้ มทช่ี มอยา่ งสมำ�่ เสมอ
ค่อยๆ ลบภาพโลกจริงออกไปและน�ำภาพท่ีเห็นจากจอโทรทัศน์กลายเป็นของจริงไป เช่น แม้ในโลกจริง
อาจไม่เคยพบความรุนแรง การฆาตกรรม แต่จากการดูข่าวฆาตกรรมอย่างต่อเน่ืองก็ท�ำให้เราอาจกลัว
การเดนิ ในที่เปลี่ยวคนเดียว เพราะคิดว่า ในทเี่ ปล่ียวจะมฆี าตกรซอ่ นเรน้ อยู่
แม้ว่า แนวคิดสองแนวคิดหลังน้ีจะเป็นแนวคิดในแวดวงสื่อสารมวลชน แต่นักวิชาการด้าน
ภาพยนตร์ท่ีศึกษาผู้ชมบางท่านก็สามารถน�ำมาประยุกต์ใชก้ ับผู้ชมภาพยนตร์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่าง
ยงิ่ การเลยี นแบบส่ิงทเ่ี หน็ ในภาพยนตร์ ซ่งึ ถือเป็นกระบวนการทางจติ ในส�ำนักจติ วิทยาพุทธปิ ัญญา สว่ น
งานของเกอรบ์ เนอร์ อาจตอ้ งพจิ ารณาถงึ ความถที่ ผี่ ชู้ มภาพยนตรบ์ รโิ ภคภาพยนตรใ์ นลกั ษณะเดยี วกนั คอื
สม�่ำเสมอและค่อนข้างมาก จึงจะส่งผลต่อการปลูกฝังความเป็นจริงบางอย่างให้กับผู้ชม ทว่า ต้องพึง
ระมัดระวังขอ้ วิจารณ์ต่อแนวคดิ ของเกอรบ์ เนอร์ทีค่ อ่ นขา้ งมองข้ามศักยภาพของมนุษย์
กริปเซิรด์ (Gripsurd, 2000) สรุปใหเ้ หน็ วา่ การศึกษาผ้ชู มในภาพยนตรแ์ ม้จะไดร้ ับความสนใจ
ในช่วงแรกของการถือก�ำเนิดของภาพยนตร์ แตก่ ก็ ลบั อ่อนแรงลงในชว่ งทศวรรษที่ 1950 อันเน่อื งมาจาก