Page 46 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 46
15-36 ทฤษฎแี ละการวิจารณภ์ าพยนตร์
มัลวีย์ ประยุกต์งานของส�ำนักจิตวิเคราะห์มาใช้ โดยอธิบายการจ้องมองของผู้ชมว่า มีลักษณะ
ผลติ ซำ้� การจอ้ งมองแบบผชู้ าย (male gaze) นน่ั กห็ มายความวา่ ในโลกภาพยนตรจ์ ะเปน็ โลกทผี่ ชู้ ายเปน็
ผู้จ้องมองและผู้หญิงก็จะอยู่ในฟากของการเป็นผู้ถูกจ้อง ผู้หญิงจึงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ (object of
desire) ใหผ้ ชู้ ายไดจ้ ้อง ยงิ่ ไปกวา่ นั้น เมอ่ื วิเคราะหล์ กึ ลงไปกพ็ บวา่ ผหู้ ญิงเปน็ ผู้ถกู จ้องถงึ สามระดับคือ
การจ้องโดยผู้ก�ำกับ การจ้องโดยดาราชาย และท่ีส�ำคัญคือ ผู้ชมไม่ว่าชายหรือหญิงก็จะจ้องผู้หญิงด้วย
มุมมองแบบผู้ชายเช่นเดียวกัน ประหนึ่งการย้อนไปในวัยเด็ก อันท�ำให้การผลิตซ�้ำอุดมการณ์ความเป็น
ชายที่ยิ่งใหญ่ไม่สูญสลายไปได้ง่าย และตอกย�้ำความสุขในการจ้องมอง (scopophillia) โดยเฉพาะการ
มองในโรงภาพยนตรใ์ นท่มี ืดก็ไม่ได้ตา่ งไปจากการเปน็ ถ้�ำมอง (voyeurism) เพราะแยกตัวจากผู้คนมอง
ไปในที่มืดสนิท และสร้างความพึงพอใจจากการมองไม่ต่างกัน นี่ก็คือภาวะแห่งความสุขของผู้ชมท่ีกลาย
เป็นผู้มีอ�ำนาจในการจอ้ งมองในโรงภาพยนตร์
นอกจากนนั้ มลั วีย์ ยังไดข้ ยายการวเิ คราะห์ผูช้ มภายใตส้ �ำนกั จติ วเิ คราะหเ์ พิ่มเติมไปถึงการหลง
ภาพตัวเอง (narcissism) ซึ่งได้ยืมมาจากลากอง (Lacan) ท่ีมองว่า มนุษย์เรามีขั้นตอนการพัฒนา
บคุ ลกิ ภาพผา่ นการเรยี นรแู้ ละมองตนเองในกระจกหรอื ขนั้ มลิ เลอร์ สเตจ (the mirror stage) ในขนั้ ตอน
นี้ เกิดขนึ้ ในวยั ทารกทไ่ี มส่ ามารถแยกตวั ตนออกจากแม่ได้ แตเ่ ม่ือเร่มิ เตบิ โตขนึ้ ในช่วงหกถงึ แปดเดือนก็
จะก้าวสูภ่ าวะมลิ เลอร์ สเตจ ทารกจะเรม่ิ แยกตัวเองออกมา เมอื่ ได้เริ่มเห็นหนา้ ของแม่ รวมถึงหนา้ ตนเอง
ผ่านกระจก แม้ภาพดังกล่าวจะไม่ใช่ของจริงอาจเป็นเพียงภาพลวงตาหรือภาพที่ไม่ได้ชัดเจน แต่ท�ำให้
ทารกเร่ิมตระหนักถึงตวั ตนและอา้ งอิง (identify) ตัวตนนั้นเปน็ ตัวตนของทารกท่ีสมบรู ณ์แบบ กอ่ ให้เกิด
การหลงภาพตัวเองและสร้างความเปน็ ฉนั หรือ “I” ข้นึ มา
มลั วีย์ นำ� ปรากฏการณด์ ังกลา่ วมาอธบิ ายกบั การรับชมภาพยนตรใ์ นที่มดื ทำ� ใหเ้ สมือนหน่ึงการ
ยอ้ นกลบั ไปในภาวะวยั ทารกอกี ครง้ั จอภาพยนตรก์ เ็ สมอื นตาของเดก็ ทจี่ บั จอ้ งไปทภี่ าพ/คนทสี่ มบรู ณแ์ บบ
เชน่ ดาราชายผกู้ ลา้ แกรง่ ท�ำใหผ้ ชู้ มเองหลงลมื การมตี วั ตนไปชวั่ ครแู่ ลว้ จะเรม่ิ เชอื่ มตวั ละครทส่ี มบรู ณแ์ บบ
ในจอให้กลายเป็นตัวตน สิ่งนี้เรียกว่ากระบวนการอ้างอิง (identification) ผู้ชมก็แทบจะไม่ได้ต้านทาน
เพราะภาพดังกล่าวเป็นภาพสมบูรณ์แบบ จุดท่ีน่าสังเกตคือ การอ้างอิงนี้มักจะอิงตัวแบบที่สมบูรณ์หรือ
พระเอกทผี่ ลติ ขึ้นโดยสงั คมชายเป็นใหญน่ ่นั เอง
การศกึ ษาผชู้ มดว้ ยแนวทางของมลั วยี ส์ รา้ งความตนื่ เตน้ ตอ่ แวดวงวชิ าการสตรนี ยิ มและภาพยนตร์
เปน็ อยา่ งสงู โดยเฉพาะการสรา้ งความตระหนกั ถงึ ปญั หาสงั คมชายเปน็ ใหญท่ ผ่ี ลติ ซำ�้ ผชู้ ายเปน็ ใหญ่ ผหู้ ญงิ
เป็นรองในแวดวงการผลิตไปจนถึงการชมภาพยนตร์ ท�ำให้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงท่ีเป็นผู้ชมก็จะต้อง
รบั ชมภาพยนตรไ์ ปตามลกั ษณะของชายเปน็ ใหญ่ อนั นำ� ไปสกู่ ารตอ่ ตา้ นการจอ้ งมองและการผลติ ภาพยนตร์
แบบผู้ชาย ตลอดจนทำ� ให้เกิดกระแสการผลติ ภาพยนตรข์ องผหู้ ญิงเอง (women film)
กระน้นั กต็ าม แนวคดิ ของมัลวีย์ กถ็ กู วพิ ากษว์ จิ ารณอ์ ย่างสูงเพราะมองผู้ชมในฐานะผูถ้ กู กระท�ำ
เพยี งดา้ นเดยี ว การขาดการวดั ท่เี ปน็ รูปธรรม (เพราะมาจากพื้นฐานการศึกษาของจิตวเิ คราะห)์ และการ
เหมารวมวา่ ไมว่ า่ ใครกจ็ ะกลายเปน็ ผชู้ มแบบชายเปน็ ใหญ่ จงึ เกดิ คำ� ถามตามมาวา่ แลว้ ผหู้ ญงิ ทกุ คน เพศ
ทส่ี าม หรอื แมแ้ ตค่ นดำ� จะชมภาพยนตรด์ ว้ ยแนวทางแบบนห้ี รอื ไม่ ผหู้ ญงิ จะมแี นวทางการชมของตนเอง
ได้หรือไม่ ค�ำตอบดงั กลา่ วคลค่ี ลายในทศวรรษท่ี 1980 เมือ่ สำ� นักวัฒนธรรมศึกษากา้ วมาชว่ ยตอบปญั หา