Page 41 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 41
การศึกษาภาพยนตรแ์ นวผู้ชม 15-31
นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนพยายามอธิบายปรากฏการณ์ผู้รับสารหรือผู้ชมเป็นผู้กระท�ำ ด้วย
แนวคดิ ทฤษฎสี ามแนวคดิ คอื ความแตกตา่ งเชงิ จติ วทิ ยาของบคุ คล การมองผรู้ บั สารกบั การเปน็ กลมุ่ กอ้ น
และมีสายสัมพนั ธก์ ับสังคม (กาญจนา แกว้ เทพ, 2552) รายละเอยี ดดงั นี้
ในด้านแรก ความแตกต่างด้านจิตวทิ ยาบุคคลท�ำใหบ้ คุ คลมคี วามแตกต่างกนั (individual dif-
ference) จะเป็นการพิจารณาบนส�ำนักจิตวิทยาพุทธิปัญญา ซึ่งจะพิจารณาถึงกระบวนการทางจิตของ
มนษุ ย์ ไมใ่ ชม่ สี ง่ิ เรา้ หรอื ไดช้ มภาพยนตรแ์ ลว้ จะกา้ วสพู่ ฤตกิ รรมทนั ที ยงั คงมกี ระบวนการทางจติ ในมนษุ ย์
และทสี่ ำ� คญั คือมนษุ ย์เกดิ กระบวนการเรียนรภู้ ายในจิตใจ ในส่วนนมี้ นุษยแ์ ต่ละคนจึงมกี ระบวนการเรยี นรู้
ที่แตกต่างกันไป เหตุน้ีเอง เมื่อได้รับสิ่งเร้า ก็จะเกิดการรับรู้ นำ� ไปสู่ความเข้าใจ ทัศนคติ และส่งผลต่อ
พฤตกิ รรม ท้ังนี้ ตัวแปรท่ีนกั จิตวิทยาให้ความส�ำคัญมากทสี่ ดุ ก็คอื ทัศนคติ เพราะมีความง่ายในการวดั ที่
เป็นรูปธรรมผ่านมาตรวดั ทัศนคติ
ในดา้ นทส่ี อง การมองมนษุ ยเ์ ปน็ กลมุ่ กอ้ นและแตล่ ะกลมุ่ กย็ อ่ มมคี วามตา่ งกนั (social difference)
แนวคดิ นต้ี า่ งไปจากอดตี ทม่ี องวา่ เมอ่ื คนมาอาศยั ในเมอื งจะไมเ่ กดิ การรวมตวั กนั แตส่ ำ� หรบั นกั สงั คมวทิ ยา
รนุ่ ใหมก่ ลบั มองตา่ งไปวา่ อาจมกี ารรวมกลมุ่ ในลกั ษณะเปน็ กลมุ่ ใหมๆ่ เชน่ กลมุ่ นกั ศกึ ษา กลมุ่ ชาวคอนโด
กลมุ่ เพศทสี่ าม กลมุ่ แฟนคลบั กลมุ่ คนชนั้ กลาง กลมุ่ คนสผี วิ ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ ยงั ตง้ั ขอ้ สงั เกตเพมิ่ เตมิ วา่ ผรู้ บั
สารแต่ละกลุ่มก็ย่อมมีการเปิดรับสื่อ เลือกรับสารท่ีแตกต่างกันตามความต้องการของตนเอง ดังแนวคิด
การใชป้ ระโยชนแ์ ละความพึงพอใจจากสอ่ื (uses and gratification approach) ของ แคทซ์ (Katz) ใน
ปลายทศวรรษที่ 1970
แนวคิดของแคทซ์ เผยให้เห็นว่า มนุษย์แต่ละคนจะมีความต้องการที่แตกต่างกัน และความ
ต้องการน้ันจะน�ำไปสู่การหาหนทางต่างๆ หน่ึงในนั้นคือ เปิดรับสื่อ และเลือกส่ือเพ่ือสนองตอบต่อความ
ตอ้ งการดงั กลา่ ว ในจดุ นจี้ งึ เทา่ กบั วา่ สอื่ มไิ ดม้ อี ำ� นาจทงั้ หมด แตผ่ รู้ บั สารตา่ งหากทมี่ อี ำ� นาจเลอื กสอ่ื ผรู้ บั สาร
มีความต้องการและคาดหวังว่า ถ้าเปิดรับส่ือแล้วก็น่าจะตอบสนองความต้องการได้ก็จะน�ำไปสู่การใช้ส่ือ
และเกิดความพึงพอใจในท้ายท่สี ุด ตัวอย่างเชน่ กลมุ่ วยั ร่นุ มีความตอ้ งการอยากรูอ้ ยากเห็นเร่ืองความรกั
จึงเลือกจะรับชมภาพยนตร์รักโรแมนติก คาดหวังว่า เม่ือรับชมแล้วก็จะน�ำไปสู่ความพึงพอใจ แต่ในทาง
ปฏิบตั ิการรับชมกอ็ าจตอบสนองหรือในทางกลับกันก็อาจไมพ่ อใจและไม่เปิดรบั สือ่ กเ็ ป็นได้
ในดา้ นท่ีสาม การมองมนุษย์กบั ความสมั พันธ์ระหว่างกัน (social relationships) ในขณะท่ีใน
อดตี แนวคดิ แบบสงั คมมวลชน (mass society) มองวา่ ผคู้ นขาดความสมั พนั ธก์ นั แตส่ ำ� หรบั แนวคดิ ใหม่
นก้ี ลบั มองวา่ ผู้คนยงั คงมคี วามสัมพนั ธ์กนั อยู่ ในทำ� นองเดียวกันกับการชมภาพยนตร์ก็อาจมนี ัยของการ
ดูเป็นกลุ่มก้อนและรวมกลุ่ม การมองความสัมพันธ์ของผู้คนได้พิสูจน์ให้เห็นจาการวิจัยและทดลอง โดย
เฉพาะในงานของลาซารส์ เฟลด์ (Lazarsfeld) ในปี 1940 ศกึ ษาการเลอื กตง้ั และพบวา่ การตดั สนิ ใจเลอื กตงั้
มิได้มาจากอิทธิพลของส่ือมวลชน แต่กลับเป็นการเช่ือคนอ่ืนจนน�ำมาสู่การพัฒนาแนวคิดผู้น�ำความคิด
(Opinion Leader) ในเวลาตอ่ มา
จากแนวคิดข้างต้น ท�ำให้ผู้รับสารจากเดิมท่ีถูกมองว่า เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสื่อท้ังหมดได้
พัฒนาขึน้ และกลายเป็นการมองวา่ ผรู้ ับสารมคี วามแตกต่างทงั้ เชงิ จิตวทิ ยา กลุม่ และมีความสมั พันธ์กบั
คนอน่ื ทำ� ใหผ้ ู้รบั สารนัน้ มีลักษณะเปน็ ผกู้ ระทำ� มากข้นึ การจะเข้าใจหรอื ศกึ ษาผรู้ บั สารจึงต้องปรับเปลย่ี น