Page 45 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 45

การศึกษาภาพยนตรแ์ นวผู้ชม 15-35
       อัลธูแซร์ ยังชี้ให้เห็นเพ่ิมเติมถึงการท�ำงานของอุดมการณ์ดังกล่าวน้ันว่าท�ำงานอยู่ในระดับ
จิตไร้ส�ำนึก (unconscious) ดังทรรศนะของจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) ที่เช่ือว่าจิตใจมนุษย์มีสาม
ระดบั คอื จติ ส�ำนึก (conscious) จติ ใตส้ �ำนึก (subconscious) และจิตไร้ส�ำนึก ทซ่ี งึ่ มีพน้ื ทจี่ �ำนวนมาก
ดจุ ดงั ใตภ้ เู ขานาํ้ แขง็ ทล่ี อยนาํ้ อยจู่ ะพบวา่ พน้ื ทจี่ มนา้ํ มปี รมิ าณมาก พนื้ ทล่ี อยนา้ํ มนี อ้ ย คอื จติ สำ� นกึ หรอื
ส่ิงที่เราเห็นได้ และพ้ืนท่ีผลุบโผล่คือ จิตใต้ส�ำนึก ท่ีบางคร้ังความต้องการในจิตไร้ส�ำนึกก็โผล่ออกมาให้
เหน็ เชน่ ในตอนฝนั หรอื ในตอนพลง้ั เผลอ ในทศั นะของนกั วชิ าการดา้ นจติ วเิ คราะห์ เชน่ ลากอง (Lacan)
เชอื่ วา่ ในโลกของจติ ไรส้ ำ� นกึ นน้ั เปน็ โลกแหง่ สญั ญะ มรี ะบบระเบยี บ โครงสรา้ งภาษาบางอยา่ งอยู่ ดงั นนั้
โลกความเป็นจริงก็สามารถหยิบหรือใส่สัญญะบางอย่างฝากลงไปในจิตไร้ส�ำนึก เช่นเดียวกันกับการชม
ภาพยนตร์ท่ีเต็มไปด้วยโครงสร้างภาษา ก็สามารถลื่นไหลลงในจิตไร้ส�ำนึกและผู้ชมก็เก็บสัญญะน้ันลงไป
โดยไมร่ ตู้ ัว นาํ้ สม้ ซ่งึ เปน็ น้าํ นางเอกก็ถกู ใส่ความหมายอดุ มการณข์ องความเรยี บร้อยลงไปในน้นั เม่ือเรา
จะเขา้ รา้ นอาหารเรากจ็ ะส่ังนํ้าส้มโดยปรยิ าย แทนทจ่ี ะส่งั เคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นสัญญะของผูร้ ้ายหรือ
นางรา้ ย
       สิ่งที่อัลธูแซร์ให้ความสนใจก็คือ การฝังอุดมการณ์ในจิตไร้ส�ำนึก มักจะมีลักษณะไม่ได้บังคับแต่
เปน็ ไปในลกั ษณะคอ่ ยๆ ใสล่ งไป ปจั เจกบคุ คลไมไ่ ดป้ ฏเิ สธมลี กั ษณะการรบั สารไปโดยไมร่ ตู้ วั รบั ไปเรอ่ื ยๆ
และสง่ั สมไป และทส่ี �ำคญั คือ น�ำมาใช้ในชว่ งเวลาตา่ งๆ ของชีวิต เชน่ กรณกี ารเลือกน้าํ สม้ ในรา้ นอาหาร
นั้น
       ดว้ ยเหตนุ เ้ี อง ผชู้ มในทศั นะของสำ� นกั สกรนี จงึ มลี กั ษณะผทู้ ถี่ กู กระทำ� ไมอ่ าจปฏเิ สธได้ มลี กั ษณะ
การยอมรับแบบโดยปริยาย (และรวมไปถึงตัวผู้ส่งสารหรือศิลปิน ก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน แต่จะ
ผลติ ภาพยนตร์ไปตามโครงสร้างภาษาทถ่ี กู ก�ำหนดไวแ้ ตต่ น้ ) ในจุดนเ้ี อง ท�ำให้เกดิ ข้อถกเถียงตามมาว่า
ผรู้ บั สารจะเปน็ ผถู้ กู กระทำ� แบบนนั้ ทงั้ หมดหรอื ผรู้ บั สารสามารถตอ่ สขู้ ดั ขนื ไดห้ รอื ไม่ และดว้ ยแนวคดิ ของ
บารธ์ ส์ (Barthes) เรือ่ ง เดท ออฟ ดิ ออเธอร์ (Death of the Author) ที่เรม่ิ หันมามองผรู้ ับสาร และ
งานของกรัมชี (Gramsci) ที่สนใจการต่อสู้ต่อรองของปัจเจกบุคคล จึงส่งผลให้เริ่มขยับไปสู่อ�ำนาจของ
ผ้รู ับสารในสำ� นกั วัฒนธรรมศกึ ษา ซงึ่ จะกลา่ วต่อไปในเรอ่ื งถดั ไป
       อย่างไรก็ตามคุณูปการของแนวคิดดังกล่าว ส่งผลให้นักวิชาการกลุ่มสตรีนิยมกับภาพยนตร์
(Feminism and film) ให้ความสนใจน�ำมาปรับใช้การที่ภาพยนตร์ก�ำลังท�ำหน้าท่ีครอบง�ำและผลิตซ้�ำ
อุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ให้กับสังคมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว งานช้ินเอกของส�ำนักนี้ ก็คือ บทความของมัลวีย์
(Laura Mulvey) นักวิชาการสายสตรีนิยมและภาพยนตร์ชาวอังกฤษ เร่ือง วิสช่ัวร์ เพลสเชอร์ แอนด์
แนราทฟี ซีนีมา่ (Visual Pleasure and Narrative Cinema) ตพี ิมพ์ในวารสารสกรนี (Screen) ในช่วง
ปี 1975
       เน่ืองจากมัลวีย์สนใจมิติด้านสตรีนิยม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพิจารณาถึงความไม่เท่าเทียมกันด้าน
เพศชายและหญิง โดยส่วนใหญ่แล้วในสังคมตะวันตกเป็นสังคมชายเป็นใหญ่จึงมักจะก�ำหนดให้สตรีเป็น
เพศที่อ่อนแอและถูกกีดกันออกไปจากส่ือมวลชนรวมถึงภาพยนตร์ ส�ำหรับมัลวีย์แล้ว เธอก็เห็นด้วยกับ
แนวคดิ ดงั กลา่ วและพฒั นาแนวคดิ ออกไปเพมิ่ เตมิ โดยวเิ คราะหไ์ ปถงึ จติ ไรส้ ำ� นกึ ของผชู้ ม ซง่ึ เปน็ ทปี่ ลกู ฝงั
ความคิดเรื่องชายเป็นใหญ่ในภาพยนตร์ได้อยา่ งแนบสนิท
   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50