Page 38 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 38
15-28 ทฤษฎแี ละการวจิ ารณภ์ าพยนตร์
นอกจากน้นั เม่ือเทียบระหวา่ งสายตาของมนษุ ยก์ บั เทคนิคของภาพยนตร์ เชน่ เลนส์ และกล้อง
กจ็ ะพบวา่ ทงั้ สองสงิ่ มคี วามแตกตา่ งกนั โดยสนิ้ เชงิ ในขณะทสี่ ายตามนษุ ยไ์ มอ่ าจรบั รภู้ าพแบบกลอ้ งทเี่ นน้
ความชา้ -เรว็ ยอ้ นกลบั -หยดุ นง่ิ ภาพบดิ เบอื นตา่ งๆ ทเี่ กดิ จากเลนส์ การเคลอ่ื นทห่ี รอื สลบั ทขี่ องเวลา เหตนุ ้ี
ภาพยนตรจ์ งึ สามารถสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะดว้ ยตวั ของมนั เองขนึ้ มาใหม่ และสอ่ื ความหมายบางอยา่ งทำ� ใหเ้ กดิ
การถ่ายทอดความรู้สกึ แก่ผูช้ ม โดยผ้ชู มกจ็ ะต้องคิดและเรียนรู้จากสง่ิ ที่ไดช้ ม
ในกรณีของไทย ณฐั พล วงษช์ ื่น (2551) ไดศ้ ึกษาปจั จัยท่มี ผี ลตอ่ การรับรูม้ ดู้ แอนดโ์ ทน (mood
and tone) ของผู้ชมภาพยนตรไ์ ทยในการออกแบบงานสร้างภาพยนตร์แนวสยองขวัญ ผลการศึกษาชใ้ี ห้
เหน็ วา่ ผชู้ มสามารถรบั รมู้ ดู้ แอนดโ์ ทน หรอื แนวความคดิ ทกี่ ำ� หนดขน้ึ เพอื่ บง่ บอกถงึ อารมณค์ วามรสู้ กึ ของ
ภาพยนตรท์ ่ีศิลปินผู้สร้างก�ำหนดข้ึนในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง เด็กหอ และเปนชู้กับผี ท้ังในช่วงก่อน
การชมภาพยนตรโ์ ดยผ่านภาพยนตรต์ ัวอยา่ ง ใบปิด ผ้กู ำ� กับภาพยนตร์ นกั แสดง การโฆษณา และเพลง
ประกอบ ท�ำให้ไดร้ บั ร้อู ารมณโ์ ดยรวมกอ่ นรับชมภาพยนตร์
และเมอื่ ผชู้ มไดร้ บั ชมภาพยนตร์ ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การรบั รมู้ ดู้ แอนดโ์ ทนและโนม้ นา้ วใจผชู้ ม สามารถ
จ�ำแนกได้ 4 กล่มุ เรยี งล�ำดบั จากมากไปนอ้ ย คือ กลุม่ แรก มมุ กลอ้ ง กลุม่ ทสี่ อง คือ สแี ละฉากสถานที่
กลมุ่ ทส่ี าม คอื อปุ กรณป์ ระกอบฉาก แสงเงา และเวลา สว่ นสงิ่ ทรี่ บั รไู้ ดน้ อ้ ยกค็ อื การแตง่ หนา้ ทรงผม และ
เสอ้ื ผ้าเคร่อื งแต่งกาย
งานชน้ิ นย้ี งั ชใี้ หเ้ หน็ วา่ ปจั จยั ทท่ี ำ� ใหก้ ารออกแบบงานสรา้ งภาพยนตรแ์ นวสยองขวญั ประสบความ
ส�ำเร็จก็คือ ความสมจริงและกลมกลืนไปกับเรื่องราว บทภาพยนตร์ และการออกแบบงานสร้างเพ่ือน�ำ
อารมณ์ผู้ชมไปสู่แนวทางมู้ดแอนด์โทนท่ีก�ำหนด ท้ังหมดนี้ ช่วยน�ำไปสู่การพัฒนาและการสร้างสรรค์
ภาพยนตร์เพ่ือใหเ้ รา้ อารมณ์ความรู้สึกผู้ชมได้อยา่ งดี
อย่างไรกต็ ามอาจกล่าวไดว้ ่า ในยคุ แรกของภาพยนตรก์ ับการศึกษาผู้ชม ยงั คงมุ่งเนน้ ศลิ ปะของ
ภาพยนตร์โดยพิจารณากระบวนการทางจิตใจของผู้ชมในการรับรู้ภาพที่เห็นในภาพยนตร์ว่า แม้จะไม่ใช่
ความเปน็ จรงิ แตภ่ าพยนตรพ์ ยายามสรรคส์ รา้ งในเชงิ ศลิ ปะเพอ่ื ทำ� ใหผ้ ชู้ มตระหนกั วา่ สงิ่ ทเ่ี หน็ นนั้ สมจรงิ ใน
เชิงศลิ ปะในลกั ษณะรูปแบบนิยม (Formalism) แต่การศึกษาวเิ คราะห์ตัวผชู้ มจริงๆ น้ันอาจยังไม่เกดิ ข้นึ
2. การศึกษาผู้ชมของมูลนิธิเพย์นตามทัศนะอิทธิพลของสื่อ
ในชว่ งเวลาการถอื ก�ำเนิดของภาพยนตรใ์ นช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 ตน้ ศตวรรษที่ 20 สงั คมโลก
โดยเฉพาะในฟากของยโุ รปและสหรัฐฯ เรม่ิ กา้ วสสู่ งั คมอุตสาหกรรม ผู้คนเร่มิ อพยพจากชนบทสเู่ มืองเพอ่ื
เขา้ มาท�ำงานในโรงงานอตุ สาหกรรม ปรมิ าณของผอู้ พยพจ�ำนวนมากดา้ นหนง่ึ ตอ้ งอาศยั สอ่ื มวลชนเพอ่ื จะ
ท�ำหน้าท่ีส่ือสารเร่ืองราวต่างๆ และเช่ือมโยงผู้คนเหล่านั้น ภาพยนตร์จึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ท�ำ
หนา้ ที่ให้ความรแู้ ละความบันเทงิ แก่ผ้คู นที่อพยพเขา้ มาทำ� งานในเมืองโดยเฉพาะชนชั้นใชแ้ รงงาน ในชว่ ง
ทศวรรษท่ี 1920 เป็นตน้ มา ภาพยนตร์กก็ ลายเปน็ อตุ สาหกรรมบันเทิงหลักแก่ผคู้ นในโลกตะวนั ตก
แมด้ า้ นหนง่ึ ภาพยนตรจ์ ะไดร้ บั การมอบหมายหนา้ ทดี่ า้ นความบนั เทงิ แกม่ วลชนทเี่ ขา้ มาในสงั คม
เมือง แต่ในเวลาเดียวกันภาพยนตร์ก็เร่ิมถูกต้ังค�ำถามจากบรรดาชนช้ันน�ำถึงอิทธิพลที่ส่งผลกระทบต่อ
มวลชนกลุ่มเหลา่ นนั้ ด้วย โดยเฉพาะค�ำถามเรอ่ื งเกี่ยวกับความรุนแรง อาชญากรรม เรื่องรักใคร่ รวมไป