Page 240 - การพัฒนาเครื่องมือและกิจกรรมแนะแนวและการปรึกษาเชิงจิตวิทยา
P. 240
14-26 การพัฒนาเครื่องมือและกิจกรรมแนะแนวและการปรึกษาเชิงจิตวิทยา
1.2 การว เิ คราะหห์ าค า่ อ ำนาจจ ำแนก (Discrimination) อำนาจจ ำแนก กล่าวไดอ้ ย่างง ่ายค ือ “ความ
สามารถของข ้อค ำถามท ี่จ ะแ ยกบ ุคคลซึ่งม ีล ักษณะ (ที่วัด) ต่างก ันอ อกจากก ันได้”
แซก (Sax, 1997: 241) อธิบายว่า ดัชนีความจ ำแนก (Discrimination Indices) วัดป ริมาณท ี่ข ้อ
คำถามแ ยกแยะร ะหว่างก ลุ่มผ ูซ้ ึ่งไดค้ ะแนนส ูง กับก ลุ่มซ ึ่งไดค้ ะแนนต ่ำจ ากก ิจกรรมพ ิจารณาค ะแนนร วมข อง
การส อบ นั่นค ือ ดัชนีค วามจ ำแนก (D) คิดได้จ ากค วามแ ตกต ่างร ะหว่างสัดส่วนก ารต อบถ ูกข องก ลุ่มส องฝ ่าย
ตรงข้าม ซึ่งมีค่าตั้งแต่ +1.00 ถึง —1.00
เครื่องมือสำหรับการสอบวัดเกือบทุกประเภทที่ประกอบด้วยข้อสอบ ข้อคำถาม อันได้แก่ แบบ
ทดสอบ แบบสอบถาม แบบส ำรวจต า่ งๆ มกั ต อ้ งการส ว่ นป ระกอบท อี่ ำนาจจ ำแนกส งู ดงั น ัน้ การส รา้ งเครือ่ งม อื
เพื่อก ารส อบวัดท างการแนะแนวและการปรึกษาเชิงจ ิตวิทยาจึงไม่อาจห ลีกเลี่ยงการห าค่าอำนาจจ ำแนกได้
ถ้าพิจารณาเฉพาะข้อสอบหรือแบบทดสอบซึ่งอาจแบ่งเป็นระบบอิงกลุ่ม อิงเกณฑ์แล้ว การหาค่า
อำนาจจำแนกก็ทำนองเดียวกับก ารห าค่าความย ากที่กล่าวม า คือเป็นค่าที่สำคัญสำหรับร ะบบอ ิงกลุ่มเท่านั้น
ค่าดังก ล่าวมีค ุณค่าน ้อยส ำหรับข้อสอบระบบอิงเกณฑ์ ส่วนแบบวัดอื่นๆ เช่น แบบว ัดจ ิตลักษณะ หรือแบบ
วัดบ ุคลิกภาพ ล้วนต้องการให้ม ีอำนาจจ ำแนกรายข้อสูงๆ ทั้งนั้น
1.2.1 การหาอำนาจจำแนกของข้อคำถามที่มีคะแนนแบบ 0-1 ข้อคำถามประเภทนี้ เช่น
ข้อคำถามแ บบถูก-ผิด ใช่ไม่ใช่ หรือค ำถามแ บบเลือกต อบ โดยการต อบท ี่ถูกต้องเหมาะส มจ ะได้คะแนน 1
การต อบท ไี่ มถ่ กู ต อ้ งไมเ่ หมาะส มไดค้ ะแนน 0 การห าอ ำนาจจ ำแนกท ำไดห้ ลายว ธิ ี เชน่ วธิ สี ดั สว่ น สมั ประสทิ ธิ์
สหพันธ์แบบไบซีเรียล (Biserial Correlation) สัมประสิทธิ์สหพันธ์แบบพอยท์ไบซีเรียล (Point biserial
Correlation) ต่อไปนี้จะได้อ ธิบายเฉพาะวิธีส ัดส่วนซ ึ่งเป็นวิธีที่ส ะดวกและนิยมใช้กันทั่วไป
การหาอำนาจจำแนกของข ้อคำถามที่ให้คะแนน 0-1 ด้วยว ิธีสัดส่วน การห าอ ำนาจจ ำแนกวิธี
นี้ยึดหลักการ “ความแตกต่างระหว่างสัดส่วนการตอบถูกของกลุ่มผู้ได้คะแนนสูงกับกลุ่มผู้ได้คะแนนต่ำ”
นั่นเอง โดยดำเนินก ารด ังนี้
1) นำเครือ่ งม ือท ีไ่ปส อบวัดก ับก ลุ่มต วั อยา่ งต รวจใหค้ ะแนน แล้วเรยี งค ะแนนร วมต าม
ลำดับจากมากไปห าน้อย หรือจากน ้อยไปหามากก็ได้
2) แบ่งเป็นกลุ่มได้ค ะแนนสูง และก ลุ่มที่ได้คะแนนต่ำ ซึ่งอาจเรียกช ื่อย่อว่า กลุ่มส ูง
กลุ่มต่ำ การแบ่งม ีห ลายแบบคือ 50 เปอร์เซ็นต์ 33 เปอร์เซ็นต์ 27 เปอร์เซ็นต์ หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่
กับก ารตัดสินใจข องผู้ว ิเคราะห์ก ารแบ่งแ บบ 50 เปอร์เซ็นต์ คือเป็นกลุ่มสูง 50 เปอร์เซ็นต์ (ของก ลุ่มผู้ตอบ)
และก ลุ่มต่ำ 50 เปอร์เซ็นต์ นั่นค ือใช้ผลก ารตอบจ ากผู้ตอบท ั้งหมด แบบ 33 เปอร์เซ็นต์ คือเป็นกล ุ่มสูง 33
เปอร์เซ็นต์ คิดจ ากผ ู้ได้ค ะแนนส ูงสุดล งม า กลุ่มต ่ำ 33 เปอร์เซ็นต์ คิดจ ากผ ู้ได้ค ะแนนต ่ำส ุดข ึ้นไปต รงก ลาง
ที่เหลือ 34 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต ้องนำมาคำนวณ แบบ 27 เปอร์เซ็นต์ หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ ทำล ักษณะเดียวกัน
3) พิจารณาผ ลก ารตอบในแต่ละข ้อของกลุ่มสูง และกลุ่มต่ำ โดยอาจท ำเป็นต าราง
4) ทำการคำนวณโดยใช้สูตร
ลิขสทิ ธขิ์ องมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช

