Page 233 - การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
P. 233
พฤติกรรมวิถีการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคไม่ติดต่อ 8-67
ภาวะโรคอ ้วนโดยการใช้ร ะเบียบวิธีว ิจัยเชิงค ุณภาพ และพบว่า ผู้หญิงท ี่มีภาวะโรคอ ้วนรายงานว ่า ตนเองร ู้สึกสะดวก
ใจมากกว่าก ับก ารออกก ำลังก ายในก ลุ่มค นท ี่ม ีข นาดร ูปร่างที่ค ล้ายคลึงกัน
Treasure et al., (อ้างถ ึงใน Hemmingsson et al., 2001) พบความส ัมพันธ์ (r-0.37) ระหว่างค วามว ิตก
กังวลในร ูปร่างและข นาดข องร ่างกายแ ละก ารย ึดม ั่นต่อการรักษาเมื่อเริ่มงานว ิจัยในผู้หญิงท ี่มีภ าวะโรคอ้วน (ค่า BMI
33.4 + 7.2 กิโลกรัม/ตารางเมตร อายุ 37.7 + 13.8 ปี) ระหว่างแ ผนการเดินน าน 12 สัปดาห์ในส ถานท ี่ข องม หาวิทยาลัย
ที่เห็นได้ง่าย เป็นที่น่าสนใจว่า งานวิจัยไม่พบค่าทำนาย (Predictive Value) ในความฟิตพร้อม (Fitness) อัตรา
การเต้นข องห ัวใจในร ะยะพัก ค่า BMI และไขมันในร่างกาย หรือการย ึดม ั่นต่อการอ อกกำลังก าย อย่างไรก ็ตาม การ
ออกกำลังก ายสำหรับเป้าประสงค์ข องการล ดน ้ำหนักตัวอาจท ้อถอยลง แต่ผู้หญิงท ี่มีภาวะโรคอ ้วนกลับมีความสนใจ
เพิ่มข ึ้นในเรื่องก ารได้มาซ ึ่งผลด ีต่อสุขภาพจากก ารอ อกก ำลังก าย ซึ่งมาทดแทนค วามสนใจในเรื่องก ารล ดน้ำหนักต ัว
และลักษณะที่ปรากฏในส ังคม
1.3 แรงจูงใจ (Motivation) แรงจูงใจได้รับการกล่าวอ้างบ่อยว่า มีความสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมการออกกำลังกายได้ประสบผลสำเร็จ ถึงแม้ว่า จะยังไม่มีงานวิจัยใดที่ผู้วิจัยทำการทบทวนสามารถทำ
การว ัดแรงจ ูงใจสำหรับการออกก ำลังกายว่า เป็นร ะยะสุดท้ายของง านวิจัย เทคนิคต่างๆ สามารถนำม าใช้เพื่อเพิ่มแรง
จูงใจ เช่น การสัมภาษณ์แ บบจ ูงใจ (Motivational Interveiw) ซึ่งเป็นว ิธีการท ี่ใช้กันมากในกรณีก ารติดย า เทคนิคน ี้
พยายามเพิ่มแรงจูงใจโดยการกระตุ้นจูงใจผู้ป่วยให้ระบุเหตุผลของตนสำหรับการเปลี่ยนแปลง และโดยการจัดการ
กับแ ผนการเปลี่ยนแปลงข องผ ู้ป ่วยเป็นรายกรณี Eaton et al., (อ้างถึงใน Hemmingsson et al., 2001) ทำการวิจัย
การเข้าร ่วมในก ารอ อกก ำลังก ายไปต ามก าลเวลาพ บว ่า ความเชื่อท ี่ว ่าการอ อกก ำลังก ายส ามารถป ้องกันก ารเจ็บป ่วยได้
เช่น โรคห ลอดเลือดส มอง โรคห ัวใจแ ละห ลอดเลือด เป็นตน้ และน ำ้ ห นักต ัวเพิม่ ข ึ้นน ัน้ เป็นเหตผุ ลท ีม่ นี ยั ส ำคญั ส ำหรับ
การเลือกที่จะยังคงทำการออกกำลังกายต่อไป แรงจูงใจสามารถเสริมสร้างขึ้นได้โดยการรับการสนับสนุนและการ
กระตุ้นจูงใจจากผู้อื่น เช่น ผู้นำการออกกำลังกายและบุคคลในวัย สถานะ และความสามารถเหมือนกัน (Peer)
เป็นต้น
2. อิทธิพลทางพฤติกรรมและทางสังคมต่อการยึดม่ันในการออกกำลังกาย (Behavioral and Social
Influences on Physical Adherence)
2.1 การติดตามตรวจสอบกิจกรรมด้วยตนเอง (Activity Self-Monitoring) การตั้งเป้าหมาย และการ
ติดตามตรวจสอบตนเอง เป็นกลวิธีทางพฤติกรรมที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปสำหรับการได้มาและการคงอยู่ของ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การตรวจสอบติดตามการออกกำลังกายประจำวันด้วยตนเองสามารถทำได้หลายทาง
ตัวอย่างเช่น โดยก ารใชเ้ครื่องน ับก ้าวเดินอ ิเล็กทรอนิกส์ ทีซ่ ึ่งจ ำนวนก ้าวท ีเ่ดินป ระจำว ันจ ะไดร้ ับก ารต รวจส อบต ิดตาม
ได้โดยง ่ายในก ารบ ันทึกห รือแ สดงก ราฟ งานว ิจัยโดย Boutelle et al., (อ้างถ ึงใน Hemmingsson et al., 2001) เกี่ยว
กับการป้องกันน้ำหนักตัวเพิ่มพบว่า การตรวจสอบติดตามด้วยตนเองอย่างแข็งขันที่ทำบ่อยๆ ในเรื่องอาหารการกิน
และก ารอ อกก ำลังก ายนั้น ช่วยป้องกันก ารกลับไปม ีน้ำห นักตัวเกินในร ะหว่างเทศ กาลคร ิสมาสต ์
2.2 การสนับสนุนทางสังคม (Social Support) เป็นตัวทำนายการยึดมั่นในการออกกำลังกาย และการ
คงอยู่ของการลดน้ำหนักตัวในระยะยาวที่รู้จักกันดี งานวิจัยที่น่าสนใจโดย Kayman et al., (อ้างถึงใน
Hemmingsson et al., 2001) ซึ่งท ำการศ ึกษาต รวจส อบด ้านต ่างๆ ทางพ ฤติกรรมข องก ารค งอ ยูข่ องก ารล ดน ้ำห นักต ัว
และก ารม นี ำ้ ห นกั ต วั เพิม่ ในผ หู้ ญงิ ช าวอ เมรกิ นั พ บว า่ ผรู้ กั ษาก ารล ดน ำ้ ห นกั ต วั ไดส้ ำเรจ็ แ ละผ ทู้ คี่ วบคมุ น ำ้ ห นกั ต วั ร ะดบั
ปกติได้ ใช้ก ารส นับสนุนท างส ังคมท ี่ม อี ยู่ (ร้อยล ะ 70 และร ้อยล ะ 80 ตามล ำดับ) มากกว่าผ ูห้ ญิงท ีก่ ลับไปท ำพ ฤติกรรม
เดิมซ ้ำ (ร้อยละ 38) อย่างค ล้ายคลึงก ัน งานวิจัยโดย Fox et al., (อ้างถ ึงใน Hemmingsson et al., 2001) เกี่ยวก ับ
ลิขสทิ ธ์ิของมหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช