Page 20 - ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 9
P. 20

9-10 ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา

เรื่อง​ที่ 9.1.1	ความเ​ปน็ ​มา ความห​ มาย องค์​ประกอบ
	 และป​ ระเภทข​ อง​สมรรถนะ

1. ความ​เปน็ ม​ าข​ องส​ มรรถนะ

       สมรรถนะ เป็นค​ ำ�​ที่ไ​ด้ม​ ีก​ ารนำ�​มาใ​ช้ใ​นท​ ฤษฎีก​ ารบ​ ริหารแ​ ละว​ งการบ​ ริหารม​ าแ​ ล้วเ​ป็นเ​วลาน​ าน โดย
David D. Dubios และ William J. Rothwell (Dubis, Rothwell with et. al., 2004: 16-19) ได​้สรปุ ค​ วามเ​ปน็ ​
มาเ​กี่ยวก​ ับแ​ นวคิดเ​รื่อง Competency ไว้ใ​นห​ นังสือข​ องเ​ขาช​ ื่อ Competency-Based Human Resources
Management ไว้ว​ ่า ความเ​คลื่อนไหวห​ รือแ​ นวคิดเ​รื่อง Competency ได้ม​ กี​ ารศ​ ึกษาก​ ันม​ าอ​ ย่างช​ ้าน​ านแ​ ล้ว
นับแ​ ต่ป​ ี 1954 ที่ John C. Flanagan ได้ค​ ิดค้นว​ ิธี​การข​ ึ้น​มา​รูปแ​ บบห​ นึ่ง เพื่อ​ประเมินผ​ ล​ใน​การป​ ฏิบัติง​ าน​
โดยก​ ารส​ ังเกต และว​ ิเคราะห์​เหตุการณ์​สำ�คัญ ในง​ าน ซึ่งเ​ขาเ​รียก​ว่า “Critical incident technique” โดย​
วิธี​การ​สังเกตพ​ ฤติกรรม​ในก​ ารท​ ำ�งาน​ที่ป​ ระสบ​ความส​ ำ�เร็จ และเ​ก็บ​รวบรวม​ข้อมูลพ​ ฤติกรรม​ที่ส​ ังเกตไ​ด้​ใน​
พฤตกิ รรมก​ ารท​ �ำ งานห​ รอื ส​ ถานก​ าร​ ณอ​์ ืน่ ๆ ทเี​่ กีย่ วขอ้ ง ทัง้ นี้ เพือ่ ค​ น้ หาค​ ณุ ลกั ษณะท​ สี​่ �ำ คญั แ​ ละท​ กั ษะท​ จี​่ �ำ เปน็ ​
ที่​ทำ�ให้​การ​ทำ�งาน​นั้น​ประสบ​ความ​สำ�เร็จ แต่​ประการ​สำ�คัญ​ก็​คือ เขา​ต้องการ​ศึกษา​ว่าน​อก​จาก​พฤติกรรม​ที่​
สังเกต​ได้​จาก​การ​ทำ�งาน​แล้ว ยัง​มี​ปัจจัย​อื่นๆ ใด​อีก​ที่​ทำ�ให้​การ​ทำ�งาน​ประสบ​ความ​สำ�เร็จ โดย​เน้น​ที่​ความ​
รู้สึก​นึกคิด​และ​ภาวะ​ภายใน​จิตใจ​และ​สิ่ง​ผลัก​ดัน​ที่​อยู่​ภายใน ซึ่ง​จะ​มีผ​ ล​ต่อ​ความ​สำ�เร็จ​ของ​งาน และ​จาก​วิธ​ี
การส​ ังเกตพ​ ฤติกรรมก​ ารท​ ำ�งาน โดยก​ ารเ​ก็บร​ วบรวมข​ ้อมูลจ​ ากก​ ารส​ ังเกตใ​นส​ ถานก​ าร​ ณ์อ​ ื่นๆ ประกอบด​ ้วย​
ดัง​กล่าว ทำ�ให้​เขาส​ รุป​ว่า ยัง​มี​ประเด็นเ​รื่องท​ ี่​เกี่ยวก​ ับ​พฤติกรรมส​ ่วน​บุคคลป​ ระกอบอ​ ยู่ด​ ้วย ที่​จะท​ ำ�ให้ก​ าร​
ท�ำ งานป​ ระสบค​ วามส​ �ำ เรจ็ แ​ ละพ​ ฤตกิ รรมส​ ว่ นต​ วั น​ สี​้ ามารถท​ จี​่ ะม​ าค​ าดก​ ารณล​์ ว่ งห​ นา้ ถ​ งึ ผ​ ลส​ �ำ เรจ็ ใ​นก​ ารท​ �ำ งาน​
ของ​บุคคล​นั้น​ได้ โดย​เขา​ให้​ความ​สนใจ​ต่อ​แรง​ผลัก​ดัน​ที่​ก่อ​ให้​เกิด​พฤติกรรม​นั้น​และ​นำ�​มา​สู่​การ​ประดิษฐ์​
เครื่องม​ ือว​ ัด และป​ ระเมินพ​ ฤติกรรมบ​ ุคคลโ​ดยก​ ารเ​ล่าเ​รื่องห​ รือว​ ัดจ​ ากก​ ารใ​ห้ด​ ูภ​ าพแ​ ล้วส​ ังเกตป​ ฏิกิริยาห​ รือ​
พฤติกรรม​ที่ส​ ะท้อนอ​ อก​มา​จาก​เหตุการณ์ห​ รือก​ ารด​ ู​ภาพ​นั้น (Thematic Approach Test)

       แต่อ​ ย่างไรก​ ็ตาม แนวค​ วามค​ ิดเ​รื่องส​ มรรถนะ ได้ม​ ีก​ ารนำ�​มาใ​ช้อ​ ย่างเ​ป็นร​ ูปธ​ รรมใ​นช​ ่วงข​ อง David
C. Mc Cleland โดยใ​น​ช่วงป​ ี 1970 Mc Cleland เป็นศ​ าสตราจารย์​วิชา​จิตวิทยาใ​น​มหาวิทยาลัย Harward
ประเทศส​ หรัฐอเมริกา ผลง​ านท​ ี่ม​ ีชื่อเ​สียงข​ องเ​ขาไ​ด้ม​ ีก​ ารพ​ ิมพ์เ​ผยแ​ พร่เ​ป็นบ​ ทความใ​นห​ ัวข้อเ​รื่อง “Testing
for Competency Rather than Intelligence” ในป​ ี 1973 โดยบ​ ทความด​ ังก​ ล่าวเ​ป็นผ​ ลง​ านจ​ ากก​ ารว​ ิจัยข​ อง
Mc Cleland ในช​ ่วง​ที่เ​ป็น​ผู้บ​ ริหาร​บริษัท McBer Company โดยไ​ด้ร​ ับ​การ​ว่า​จ้างจ​ ากร​ ัฐบาล​สหรัฐอเมริกา
(The US. State Department) ในก​ าร​สร้าง​ระบบ​ทดสอบ​ใน​การ​คัด​เลือก​นักการ​ทูต​ไป​ประจำ�​ใน​ประเทศ​
ต่างๆ ทั่ว​โลก โดย​มี​หลัก​เกณฑ์​ว่า​ต้อง​ให้​ความ​เสมอ​ภาค​แก่​ผู้​ที่​จะ​เข้า​รับ​การ​คัด​เลือก​โดย​ไม่​เลือก​เชื้อ​ชาติ
ผิว และ​เผ่าพ​ ันธุ์ ซึ่งเ​ป็น​ปัญหาท​ าง​สังคมข​ อง​อเมริกาใ​นข​ ณะน​ ั้น และ​จากอ​ ดีตท​ ี่​ผ่านม​ าร​ ัฐบาลส​ หรัฐอเมริกา​
ได้ม​ ีค​ ัดเ​ลือกน​ ักการท​ ูตไ​ปป​ ระจำ�​ต่างป​ ระเทศแ​ ล้ว ปรากฏว​ ่าไ​ม่ไ​ด้ร​ ับค​ วามส​ ำ�เร็จเ​ท่าท​ ี่ค​ วรใ​นส​ ังคมท​ ี่ม​ ีค​ วาม
​แตก​ต่าง​ด้าน​สังคม​และ​วัฒนธรรม​ของ​แต่ละ​ประเทศ​ที่​ไป​ปฏิบัติ​งาน​และ​นักการ​ทูต​ที่​มี​ความ​รู้​ความ​สามารถ​
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25