Page 44 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 44

5-34 การเมืองการปกครองไทย

            ปัญหาส​ ำ�คัญท​ ี่เ​กิดข​ ึ้นม​ าโ​ดยต​ ลอด ก็ค​ ือ ความ​ซํ้าซ้อนห​ รือก​ ารป​ ะปนก​ ันร​ ะหว่าง​ขอบเขต​งาน​
และ​อำ�นาจ​หน้าที่​ระหว่างฝ​ ่าย​สมุหนายกก​ ับ​สมุห​กลาโหม จน​ไม่​สามารถแ​ บ่ง​แยก​พลเรือน​กับ​ทหาร​ออก​จาก​
กันไ​ด้ ปัญหาก​ ารแ​ ย่งช​ ิงร​ าชบ​ ัลลังกห์​ รืออ​ ำ�นาจส​ ถาบันพ​ ระม​ หาก​ ษัตริยข์​ องเ​จ้าเ​มืองต​ ่างๆ ทีเ่​กิดข​ ึ้นห​ ลายค​ รั้ง
เพราะ​เจ้า​เมือง​ต่างๆ ค่อน​ข้าง​มี​อิสระ และ​สามารถ​สร้าง​อิทธิพล​ทางการ​เมือง จน​สาม​ารถ​เข้าไป​มี​อำ�นาจ​ใน​
ราชธานีแ​ ละว​ ังไ​ด้ และใ​นย​ ุคท​ ี่ต​ ะวันต​ กแ​ ผ่อ​ ำ�นาจเ​ข้าม​ าส​ ูด่​ ินแ​ ดนส​ ุวรรณภูมิ ก็​ยิ่งม​ องเ​ห็นใ​นเ​ชิงเ​ปรียบเ​ทียบ​
ได้ว​ ่า โครงสร้าง และส​ ถาบันท​ างการเ​มืองก​ ารป​ กครองด​ ั้งเดิมน​ ี้ ค่อนข​ ้างจ​ ะล​ ้าห​ ลัง และอ​ าจไ​ม่ส​ ามารถเ​ผชิญ​
หน้า​กับ​การ​ท้าท​ ายใ​หม่ๆ ที่เ​กิดข​ ึ้น​ใน​ยุคน​ ี้​ได้

            1.2 	ความเ​ปลยี่ นแปลงภ​ ายในส​ งั คมส​ ยาม (ไทย) หลายๆ ดา้ น โดยเ​ฉพาะอ​ ยา่ งย​ ิง่ ท​ มี​่ ผ​ี ลกร​ ะท​ บ
​ต่อ​อำ�นาจแ​ ละค​ วาม​มั่นคง​ของส​ ถาบันพ​ ระ​มหา​กษัตริย์ และ​ส่วน​กลาง คือ วัง และร​ าชธานี

            ตั้งแต่​สมัยร​ ัชกาล​ที่ 2 ถึงร​ ัชกาลท​ ี่ 3 “การค​ ้าส​ ำ�เภา” ของ​พระ​มหาก​ ษัตริย์ และพ​ ระร​ าชวงศ​์
บาง​พระองค์​ได้​ขยาย​ตัว​ออก​ไป​มาก​ขึ้น เพราะ​มี​การ​ส่ง​สินค้า​ไป​ขาย​ตาม​เมือง​ท่า​และ​ตลาด​สินค้า​หลาย​แห่ง
ตั้งแต่​ชวา มะละกา ไป​จนถึง​บริเวณ​เมือง​ชายฝั่ง​ตะวัน​ออก​เฉียง​ใต้​ของ​จีน ผล​ที่​เกิด​ขึ้น​ตาม​มา​คือ ความ​
มั่งคั่ง​รํ่ารวย​ของ​พระ​มหา​กษัตริย์​และ​ขุนนาง​บาง​กลุ่ม ขณะ​เดียวกัน ก็ได้​เกิด​ปรากฏการณ์​ผู้​อพยพ​ชาว​จีน​
หลั่ง​ไหล​เข้า​มา​ใน​สยาม​เป็น​จำ�นวน​มาก โดย​คาด​ว่า อาจ​มี​ถึง​ประมาณ​ปี​ละ 15,000 คน ใน​รัชกาล​พระบาท​
สมเด็จ​พระพุทธ​เลิศ​หล้า​นภาลัย คน​เหล่า​นี้​ได้​กลาย​มา​เป็น​แรงงาน​อิสระ​รับ​ค่า​จ้าง​ที่​ค่อน​ข้าง​ยืดหยุ่น​และ​มี​
ประสิทธิภาพ​มากกว่า​แรงงาน​ไพร่​ที่​ไม่มี​ค่า​จ้าง (corvee labor) “มูลนาย” ที่​เป็น​ผู้​ปกครอง​ระดับ​สูง​จึง​ใช้​
เงิน​กำ�ไร​จาก​การ​ค้า​สำ�เภา และ “เงิน​หลวง” ใน​การ​ว่า​จ้าง​แรงงาน​จีน​ให้​ทำ�งาน​สาธารณะ​ต่างๆ ใน​ระยะ​แรก
ผู้อ​ พยพช​ าวจ​ ีนไ​ม่ไ​ด้ส​ ร้างผ​ ลกร​ ะท​ บโ​ดยตรงต​ ่อป​ ัญหาก​ ารป​ กครองข​ องช​ นชั้นน​ ำ�ทางก​ ารเมือง แต่ผ​ ลกร​ ะท​ บ​
อาจม​ ลี​ ักษณะค​ ่อยเ​ปน็ ค​ อ่ ยไ​ป เพราะค​ นจ​ นี บ​ างค​ นบ​ างก​ ลุ่มส​ ามารถเ​ข้าส​ กู่​ ระบวนการค​ ัดก​ รองค​ นเ​พื่อ “เลือ่ น​
ชัน้ ท​ างส​ งั คม” (social upward mobility) ผา่ นท​ างการถ​ วายต​ วั แ​ ละท​ �ำ งานร​ บั ใ​ช้ “มลู นาย” ในง​ านห​ ลากห​ ลาย​
รูป​แบบ รวมท​ ั้งก​ าร​เป็นผ​ ู้​เชี่ยวชาญก​ ารเ​ดิน​เรือแ​ ละ​การค​ ้า​สำ�เภา และก​ าร​เป็นเ​จ้าภ​ าษีน​ าย​อากร จัดเ​ก็บ​และ​
รวบรวม​ภาษี​ส่ง​ให้​ส่วน​กลาง นอกจาก​นั้น ความ​เป็น​อิสระ​และ​อยู่​นอก​ระบบ​ไพร่ และ​ระบบ​ทาส​ทำ�ให้​คน​
เหล่าน​ ี้​สามารถ “สะสมท​ ุน” จน​กลายเ​ป็นก​ลุ่มท​ ุนส​ ำ�คัญใ​น​ภาย​หลัง

            1.3 	ประเด็น​ทางการ​เงิน (monetary matters) เมื่อ​มี​การ​ขยาย​ฐาน​ภาษี​การ​ทำ�​นา​ให้​เจ้า​ภาษี​
นาย​อากร หรือ​เอกชน​เป็น​ผู้​จัด​เก็บ​ให้ จาก​คำ�​แนะนำ�​ของ​ทูต​อังกฤษ​ใน​สมัย​รัชกาล​ที่​ 2 จน​ทำ�ให้​ส่วน​กลาง​
มี​ราย​ได้​เพิ่ม​มาก​ขึ้น แต่​มี​หน่วย​งาน​ของ​ส่วน​กลาง​ถึง 10 หน่วย​งาน ใน​การ​รวบรวม​เงิน​ภาษี​ที่​ผ่าน​การ​
จัดเ​ก็บข​ องเ​อกชน และภ​ าษบี​ างส​ ่วนก​ ็ได้ก​ ลายเ​ป็นผ​ ลป​ ระโยชนข์​ องห​ น่วยง​ านเ​หล่าน​ ั้น นอกเ​หนือจ​ ากเ​อกชน​
ผู้​จัด​เก็บ ซึ่ง​ส่วน​ใหญ่​เป็น​ชาว​จีน* ได้​จัด​แบ่ง​บาง​ส่วน​ไว้​เป็น​ของ​ตนเอง เงิน​ที่​นำ�​เข้า​พระ​คลัง​จริงๆ จึง​มี​
ไม่​มาก​นัก และ​สะท้อน​ถึง​ปัญหา​ด้าน​ประสิทธิภาพ​ของ​ระบบ​ราชการ​แบบ​เดิม จาก​ข้อมูล​ใน​สมัย​รัชกาล​
พระบาท​สมเด็จ​พระ​นั่ง​เกล้า​เจ้า​อยู่​หัว (พ.ศ. 2367–2394) ได้​มี​การ​ขยาย​การ​เก็บ​ภาษี​เกี่ยว​กับ​นา​และ​การ
เกษตร​กรรม​ออก​ไป​ถึง 38 ชนิด และ​ใน​ยุค​นี้​ก็​เริ่ม​จัด​เก็บ​ภาษี​หวย​เป็น​ครั้ง​แรก จาก​ฐาน​ภาษี​นา​ดัง​กล่าว

	 * เจ้าภ​ าษีน​ ายอ​ ากร ถือเ​ป็นเ​จ้า​หน้าที่​ของท​ างการ และ​ได้​รับ​ศักดินา 400 ไร่
   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49