Page 95 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 95

โครงสร้าง และสถาบันการเมืองการปกครองของไทย 5-85

ที่ย​ ัง​ยึดอ​ ยู่​กับอ​ ุดมการณ์ช​ าติ ศาสนา และ​พระม​ หาก​ ษัตริย์ เพื่อล​ ้มล​ ้างร​ ะบอบ​ทักษิณ​เป็น​เป้าห​ มาย​หลัก แต​่
ไม่ใช่​เพื่อ​การ​สร้างสรรค์ป​ ระชาธิปไตยเ​ช่นเ​ดียวกัน

       ความไ​มเ่​ชื่อม​ ั่น ศรัทธาต​ ่อโ​ครงสร้าง และส​ ถาบันท​ างการเ​มืองป​ ระชาธิปไตย โดยเ​ฉพาะอ​ ย่างย​ ิ่ง การ​
ไม่มลี​ ัทธริ​ ัฐธรรมนูญน​ ิยม (Constitutionalism) ของก​ ลุ่มท​ ุนใ​นส​ ังคมไ​ทย จึงน​ ับเ​ป็นส​ าเหตสุ​ ำ�คัญอ​ ย่างห​ นึ่ง​
ต่อ​การเ​กิดป​ ัญหาเ​กี่ยว​กับโ​ครงสร้าง และส​ ถาบันท​ างการเ​มืองก​ ารป​ กครอง​ของไ​ทย

       2.3 	 ดา้ นส​ งั คมแ​ ละว​ ฒั นธรรม ผูค้ นใ​นส​ งั คมไ​ทยย​ ดึ โ​ยงค​ วามส​ มั พนั ธร​์ ะหวา่ งก​ นั จ​ ากพ​ ืน้ ฐ​ านค​ า่ น​ ยิ ม
ความ​คิด ความเ​ชื่อ​และว​ ัฒนธรรม​ของ​ความ​สัมพันธ์ใ​น​แบบ​เครือญ​ าติ (cronyism) หรือค​ วามเ​ป็นพ​ วกพ​ ้อง​
ใกล้​ชิดก​ ัน ความ​สัมพันธ์​เชิง​อุปถัมภ์ (clientism) ที่ม​ ีผ​ ล​ประโยชน์แ​ ลก​เปลี่ยน​และก​ ารช​ ่วย​เหลือเ​กื้อกูล​กัน​
เป็นต​ ัวผ​ สานค​ วามส​ ัมพันธแ์​ บบเ​จ้าน​ าย–ลูกน​ ้อง หรือร​ ะหว่างผ​ ู้บ​ ังคับบ​ ัญชา หรือผ​ ู้มสี​ ถานภาพส​ ูงก​ ว่าก​ ับผ​ ู้ใ​ต​้
บังคับบ​ ัญชาห​ รือผ​ ู้ม​ ีส​ ถานภาพต​ ํ่าก​ ว่า และก​ ารเ​คารพผ​ ู้ใหญ่ห​ รือผ​ ู้อ​ าวุโส (seniority) หรือ​บุคคลท​ ี่ม​ ีล​ ักษณะ​
เป็นผ​ ู้ม​ ี​บารมีห​ รืออ​ ิทธิพล (charismatic leader) จากค​ วาม​สามารถ​และค​ ุณสมบัติ​เฉพาะ​ต่างๆ ของ​บุคคล​
นั้น ความส​ ัมพันธข์​ องบ​ ุคคลใ​นล​ ักษณะต​ ่างๆ ดังก​ ล่าวน​ ี้ ค่อนข​ ้างเ​ข้มข​ ้นแ​ ละป​ รากฏอ​ ยูก่​ ับค​ นในส​ ังคมเ​กษตร​
และเ​ขตช​ นบท​มา​ช้าน​ าน แต่ใ​น​เขตเ​มืองแ​ ละใ​นอ​ งค์กรท​ ี่เ​ป็น​ทางการ คือ ระบบร​ าชการ และ​สถาบัน​สำ�คัญใ​น​
สังคม เช่น สถาบัน​ศาสนา สถาบัน​การศ​ ึกษา สถาบันส​ ื่อมวลชนต​ ่างๆ เป็นต้น ก็ม​ ี​การย​ ึดถือค​ วามส​ ัมพันธ์​ใน​
ลักษณะต​ ่างๆ ดังก​ ล่าวน​ ี้อ​ ย่างเ​หนียวแ​ น่น โดยเ​ฉพาะอ​ ย่างย​ ิ่งใ​นก​ ลุ่มค​ นจ​ ำ�นวนน​ ้อย ที่ม​ ีค​ วามผ​ ูกพันใ​กล้ช​ ิด​
กันใ​นล​ ักษณะใ​ดล​ ักษณะห​ นึ่ง เพราะค​ วามส​ ัมพันธ์ใ​นล​ ักษณะต​ ่างๆ ดังก​ ล่าวน​ ี้ นอกจากจ​ ะม​ ีค​ วามใ​กล้ช​ ิดก​ ัน​
แล้วย​ ังเ​กิด​ความ​ไว้ว​ างใจต​ ่อก​ ันแ​ ละ​กันไ​ด้ม​ าก การช​ ่วย​เหลือ​เกื้อกูลก​ ัน​ใน​ลักษณะต​ ่างๆ จึงเ​กิดข​ ึ้นเ​ป็น​ปกติ​
ธรรมดา และ​นอกจาก​นั้น ยังท​ ำ�ให้​สามารถเ​ข้า​แข่งขันแ​ ละ​แบ่งป​ ันผล​ประโยชน์​กับก​ ลุ่มอ​ ื่นๆ หรือ “คนพ​ วก​
อื่น” ได้ม​ าก​ขึ้นด​ ้วย

       พฤติกรรม “การเ​ล่นพ​ วก” “เส้นส​ าย” “ฝากเ​ด็ก” “ไม่ฆ​ ่าน​ ้อง ไมฟ่​ ้องน​ าย ไมข่​ ายเ​พื่อน” “การเ​ข้าหา​
ผู้ใหญ่” “การอ​ ุปถัมภ์ค​ ้ำ�ชู” “การม​ ีบ​ ุญค​ ุณต​ ่อก​ ัน” “การไ​หว้เ​งิน” “การช​ ่วยเ​หลือพ​ ึ่งพาก​ ัน” และ “มึงร​ ู้ไ​หมก​ ​ู
ลูกใ​คร” หรือ “การอ​ วดเ​บ่ง” ของล​ ูกค​ นใ​หญค่​ นโ​ตใ​นส​ ังคมจ​ ึงป​ รากฏอ​ ยูท่​ ั่วไปก​ ับค​ นในส​ ังคมไ​ทย ยิ่งใ​นก​ ลุ่ม​
คน​ที่เ​ป็น​ข้าราชการร​ ะดับส​ ูง กลุ่ม​นักธ​ ุรกิจ และน​ ักการเ​มือง​ที่ม​ ีอ​ ิทธิพลอ​ ยู่​ในจ​ ังหวัดต​ ่างๆ ยิ่งม​ ีพ​ ฤติกรรม​
ดัง​กล่าว​นี้​ในเ​กือบ​ทุกๆ ด้าน ตั้งแต่​ใน​ครอบครัวไ​ปจ​ นถึงใ​นก​ ลุ่ม องค์กรท​ ี่ส​ ังกัด ไป​จนถึง​ใน​พรรคการเมือง
รัฐสภา รัฐบาล และท​ ุก​หน่วยง​ าน​ในร​ ะบบ​ราชการ

       คนย​ ากจนแ​ ละค​ นร​ ะดับล​ ่างใ​นช​ นบทห​ รือใ​นเ​ขตเ​มืองม​ ักจ​ ะเ​ป็นกล​ ุ่มค​ นท​ ี่ม​ ีส​ ายส​ ัมพันธ์ใ​นล​ ักษณะ​
ดัง​กล่าว​นี้​กับ​กลุ่ม​นักการ​เมือง ข้าราชการ​ระดับ​สูง และ​กลุ่ม​นัก​ธุรกิจ​ได้​น้อย จึง​กลาย​เป็นก​ลุ่ม​คน​ที่​ด้อย​
โอกาส​และ​เสีย​เปรียบ​มาก​ใน​สังคม การ​พึ่งพา​หน่วย​งาน​ราชการ​ต่างๆ ก็​มี​ข้อ​จำ�กัด​มาก เพราะ​ขาด​เส้น​สาย​
และ​การ​รู้จัก​กัน​เป็นการ​ส่วน​ตัว เมื่อ​มี​การ​เลือก​ตั้ง ก็​ต้อง​พึ่งพา​นักการ​เมือง​ผ่าน​ทาง​ระบบ​หัว​คะแนน ด้วย​
การใ​ช้ “คะแนน​เสียง” แลก​เปลี่ยน​เป็นเ​งิน คำ�มั่น​สัญญา​และอ​ ื่นๆ

       พื้นฐ​ านข​ องค​ ่าน​ ิยม ความค​ ิด ความเ​ชื่อ และว​ ัฒนธรรมข​ องค​ นไ​ทยด​ ังก​ ล่าวน​ ีท้​ ำ�ใหค้​ นไ​ทยม​ คี​ ่าน​ ิยม
“เคารพ​และ​ศรัทธา​ตัว​บุคคล” มากกว่า​ด้าน​อื่น แม้แต่​กฎ​เกณฑ์​ทาง​ศีล​ธรรม และ​กฎหมาย ใน​กลุ่ม​คน​ทุก
ร​ ูปแ​ บบ​ในส​ ังคมไ​ทย จึง​เกิด “ผู้นำ�” หรือ “แกนน​ ำ�” ที่ไ​ด้ร​ ับ​การ​ยกย่องห​ รือย​ อมรับจ​ าก​คนในก​ ลุ่ม​มากท​ ี่สุด
   90   91   92   93   94   95   96   97   98   99   100