Page 39 - การวิจัยการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 1
P. 39

แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยการบริหารการศึกษา 1-29

เรอ่ื งที่ 1.2.3 แนวคดิ ใหมข่ องการวิจัยการบริหารการศึกษา

       แนวคิดใหม่หรือกระบวนทัศน์ใหม่ของการวิจัยการบริหารการศึกษาที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นข้อเสนอ
ของ ฮลิ ลแ์ ละกธั รี (Hill & Guthrie. 1999: 511-523) เรือ่ ง A New Research Paradigm for Understand-
ing (And Improving) Twenty-First Century Schooling จาก Handbook of research on educational
administration ซึ่งผู้เขียนทั้งสองได้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงของสังคมโลก
ทั้งในด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ส่งผลกระทบต่อการติดต่อสัมพันธ์กันของบุคคล การทำ�งาน และ
การศึกษา องค์การต่าง ๆ ก็ต้องเตรียมพร้อมในการปรับตัวที่จะต้องมีทั้งเครือข่ายและคู่แข่งขัน สมาชิกของ
องค์การก็ต้องแสวงหาความรู้และทักษะให้ทันการเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ องค์การและสมาชิกในองค์การ
ทีส่ ามารถปรบั ตนเองใหท้ นั การเปลีย่ นแปลงจงึ จะมโี อกาสทีด่ ใี นการอยูใ่ นสงั คมแหง่ โลกาภวิ ตั น์ ความเปน็ จรงิ
ที่กล่าวมานี้ได้เน้นให้เห็นถึงความสำ�คัญของการศึกษา การศึกษาจึงต้องเป็นการศึกษาตลอดชีวิต (lifelong
education) ที่ช่วยพัฒนานิสัยและสมรรถภาพทางจิตใจ (mental capacity) ของปัจเจกบุคคลตั้งแต่
เดก็ จนเตบิ โตเปน็ ผใู้ หญ่ ดรคั เกอร์ (Drucker. 1994 อา้ งถงึ ใน Hill & Guthrie. 1999: 511) กลา่ ววา่ ปจั จบุ นั นี้
สิ้นสุดยุคสมัยที่คนที่มีการศึกษาน้อยแล้วสามารถได้งานที่มีรายได้สูงและมีสถานภาพสูงทางสังคม แต่จะ
เป็นยุคที่ต้องการคนที่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและสามารถประยุกต์ใช้ทักษะให้เหมาะสมกับบริบทที่
เปลี่ยนแปลงได้

       ดังนั้น ผูบ้ ริหารการศกึ ษาจึงตอ้ งเผชญิ กับความเปลีย่ นแปลงอยา่ งต่อเนื่องและไม่สามารถคาดคะเน
ได้อย่างชัดเจนว่าจะนำ�องค์การไปสู่เป้าหมายใด อนาคตของนักเรียนต้องอาศัยการศึกษาที่มีคุณภาพ แต่
ก็ไม่มีใครบอกได้อย่างแน่นอนว่าการศึกษาที่มีคุณภาพสำ�หรับโลกอนาคตนั้นเป็นเช่นไร สิ่งที่สถานศึกษา
สามารถดำ�เนินการได้อย่างชัดเจนก็คือ ใช้เวลาที่นักเรียนมาเรียนให้มีประสิทธิภาพที่สุด ช่วยให้นักเรียน
พัฒนาสมรรถภาพทางจิตใจ มีนิสัยรักการทำ�งาน กระตุ้นความสนใจต่อโลกภายนอก ให้ข้อมูลที่เป็นจริง
และสอนวิธีการคิดวิเคราะห์และตีความสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลง
ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ นักการศึกษาและนักวิจัยทางบริหารการ
ศึกษาจึงต้องพยายามค้นหาว่า รูปแบบการจัดการศึกษาแบบใดจึงจะก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดดังกล่าว
มาแล้ว ทั้งนี้ ฮิลล์และกัธรีอ้างว่า แนวทางแบบดั้งเดิมที่ใช้ในการวิจัยทางนโยบายทางการศึกษา ไม่สามารถ
ให้แนวทางการจัดการศึกษาดังกล่าวได้ เพราะมีความเชื่อพื้นฐานว่าสถานศึกษาเป็นฐานอำ�นาจทางการเมือง
ของรัฐ กระบวนทัศน์อื่นก็มีมองว่าสถานศึกษาเป็นแหล่งที่ครูมารวมกันและมีหลักสูตรการสอนของแต่ละ
รายวิชา จึงมีความเชื่อว่าประสิทธิผลของโรงเรียนเกิดจากความสามารถของครูและหลักสูตรที่เป็นเลิศเป็น
สำ�คัญ กระบวนทัศน์ดังกล่าวไม่ได้มองว่าสถานศึกษาเป็นองค์การที่ต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้การแก้ปัญหาที่มา
จากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคม และจะต้องเตรียมผู้เรียนในโลกอนาคต ดังนั้น ฮิลล์และกัธรีจึงได้
เสนอกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีความเชื่อว่า สถานศึกษาเป็นองค์การในการเพิ่มผลผลิตและแก้ปัญหา โดยมีรัฐ
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44