Page 68 - การวิจัยการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 1
P. 68

1-58 การวิจัยการบริหารการศึกษา

       2. 	ปัญหาการใช้ผลงานวิจัยในการบริหารการศึกษา นักบริหารการศึกษาใช้ผลงานวิจัยในด้าน
ต่าง ๆ ที่สำ�คัญ ได้แก่ 1) การกำ�หนดนโยบายและวางแผน 2) การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ 3) การดำ�เนิน
งาน และ 4) การพัฒนาตนเอง

       การวิจัยเชิงนโยบายมีความจำ�เป็นสำ�หรับการกำ�หนดนโยบายและการวางแผนในการจัดทำ�แผน
พัฒนาการศึกษาในทุกระดับ เพื่อศึกษาแนวโน้มด้านประชากร แนวโน้มด้านเศรษฐกิจ แนวโน้มด้านสังคม
และวฒั นธรรม แนวโนม้ ดา้ นการเมอื ง แนวโนม้ ดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และแนวโนม้ ดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม
ผลงานวิจัยเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำ�หรับของการกำ�หนดนโยบายและการวางแผนการจัดการศึกษาระยะยาว

       ในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการดำ�เนินงาน ผู้บริหารจำ�เป็นต้องอาศัยข้อมูล แหล่งข้อมูล
สำ�คัญคืองานวิจัย ตัวอย่างเช่น ในการดำ�เนินงานของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยต้องการ
ทราบปัญหาด้านต่าง ๆ จึงสนับสนุนให้มีการวิจัยสถาบัน งานวิจัยเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาและ
การพัฒนาการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย ในการดำ�เนินงานด้านต่าง ๆ ผู้บริหารที่มีความคิดสร้างสรรค์
ย่อมต้องการข้อมูลเพื่อใช้ปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพ ผลงานการค้นคว้าใหม่ ๆ จึงเป็นประโยชน์ ทั้งต่อ
การพัฒนางานและการพัฒนาผู้บริหารเอง

       อย่างไรก็ตาม การใช้ผลงานวิจัยเพื่อการบริหารการศึกษาของไทยตามแนวทางข้างต้นประสบกับ
ปัญหาสำ�คัญหลายประการ ดังนี้

            2.1 	ขาดงานวิจัยเพื่อการกำ�หนดนโยบายและการแก้ปัญหา งานวิจัยเชิงนโยบายยังมีไม่
มากนัก ทำ�ให้เป็นอุปสรรคต่อการกำ�หนดนโยบาย การนำ�นโยบายไปใช้ และการประเมินนโยบายอย่างมี
ประสิทธิภาพ การดำ�เนินงานโดยทั่วไปก็เช่นเดียวกัน ผู้บริหารต้องการข้อมูลที่สอดคล้องกับปัญหา ปัญหา
แต่ละเรื่องและแต่ละแห่งแตกต่างกัน แต่ละปัญหาจึงต้องการการศึกษาวิเคราะห์เป็นการเฉพาะ การวิจัย
เชิงปฏิบัติ (action research) จึงมีความสำ�คัญ ในสถาบันอุดมศึกษามีการวิจัยสถาบัน (institutional
research) วตั ถุประสงคก์ เ็ พือ่ จดั หาข้อมลู สำ�หรับใชใ้ นการบริหารสถาบันอดุ มศึกษา แต่ปญั หากค็ ือ ในหลาย
แห่ง ความสนใจในการทำ�และการใช้มีน้อยมาก

            2.2 	การผลิตไม่ทันการใช้ งานวิจัยคือข้อมูลสำ�หรับการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ การวิจัย
แทบไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่แล้วเสร็จทันเวลาการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น การวิจัยเชิงประเมินเกี่ยวกับดำ�เนิน
งานในรอบปีที่ผ่านไป แทบจะไม่เป็นประโยชน์ถ้าไม่แล้วเสร็จก่อนการจัดทำ�งบประมาณสำ�หรับปีต่อไป การ
ประเมินแผนพัฒนาการศึกษาฉบับที่แล้วจะไม่มีความหมาย ถ้าหากไม่แล้วเสร็จก่อนการจัดทำ�แผนฉบับ
ปัจจุบัน

            2.3 	ขาดการจดั ระบบขอ้ มลู และสารสนเทศอยา่ งเปน็ ระบบ ขอ้ มลู เปน็ ตวั ปอ้ น (input) ส�ำ คญั
สำ�หรับการกำ�หนดนโยบาย วางแผน แก้ปัญหา และตัดสินใจ ตลอดถึงการดำ�เนินงานด้านต่าง ๆ ข้อมูล
เหล่านี้อาจนำ�มาจากทั้งภายในและภายนอกของหน่วยงาน อาจเป็นข้อมูลที่มีอยู่แล้วหรือจัดทำ�ขึ้นใหม่ อาจมี
สภาพเปน็ ขอ้ มลู ดบิ หรอื เปน็ งานวเิ คราะหว์ จิ ยั กระบวนการส�ำ คญั กค็ อื จะตอ้ งมกี ารเปลีย่ นแปลงขอ้ มลู (data)
ใหเ้ ปน็ สารสนเทศ (information) ส�ำ หรบั การตดั สนิ ใจ สารสนเทศจะตอ้ งมคี วามถกู ตอ้ ง สอดคลอ้ งกบั ปญั หา
และทนต่อเวลา กระบวนการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศอย่างเป็นระบบจึงมีความสำ�คัญ มิฉะนั้นก็จะมีแต่
ข้อมูลแต่ขาดสารสนเทศ นักวิชาการคนหนึ่งให้ข้อสังเกตดังนี้
   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72   73