Page 34 - สารัตถะและวิทยวิธีทางภาษาอังกฤษ
P. 34

5-24 สารัตถะและวิทยวิธีทางภาษาอังกฤษ

เรื่อง​ที่ 5.1.3	 การเ​พิ่มป​ ระสิทธภิ าพก​ าร​เรียนก​ าร​สอนภ​ าษา​องั กฤษ

      การส​ อนไ​ม่ไ​ด้ท​ ำ�ให้เ​กิดก​ ารเ​รียนร​ ู้เ​สมอไ​ป ‘การเ​รียนร​ ู้’ ไม่ว​ ่าใ​นเ​รื่องใ​ด ที่ไหนก​ ็ตาม​ ต้องการ​
พลัง (energy) และค​ วามต​ ั้งใจข​ องผ​ ูเ้​รียน ไม่มใี​ครท​ ีส่​ ามารถจ​ ะเ​รียนร​ ู้อ​ ะไรเ​พื่อใ​ครห​ รือเ​รียนแ​ ทนใ​คร​
ได้ ผู้เ​รียนท​ ุกค​ นต​ ้องม​ ีค​ วามพ​ ยายามด​ ้วยต​ นเอง ในก​ ารจ​ ัดการเ​รียนก​ ารส​ อนอ​ าจเ​ป็นไ​ปไ​ด้ว​ ่าผ​ ู้ส​ อนม​ ​ี
ความ​พยายามต​ ั้งใจส​ อน แต่​ผู้เ​รียน​ส่วนใ​หญ่ไ​ม่​ได้เ​กิด​การเ​รียนร​ ู้ แต่ใ​นบ​ าง​ครั้งผ​ ู้​สอน​ไม่​ได้พ​ ูด​อะไร​
มากน​ ัก แต่ผ​ ู้เ​รียนเ​รียนร​ ู้ไ​ด้​ดี (Scrivener, 2009)

      การ​เรียน​การ​สอน​ที่​ดี​มี​คุณภาพ​มี​ความ​สัมพันธ์​เกี่ยว​เนื่อง​กับ​การ​สอน​แบบ​ลึก​ซึ้ง (deep
approach) (Biggs, 1989; Biggs & Moore, 1993; Bound, Keogh, & Walker, 1985; Entwistle,
1988; Gibbs, 1992; Norton, 2003, cited in Suwankayee, 2008: 30) บิกส์ (Biggs, 1989)
กล่าวว​ ่า การ​สอนแ​ บบ​ลึก​ซึ้งม​ ีอ​ งค์​ประกอบ​ที่ส​ ำ�คัญ 4 ประการ ได้แก่

      1. 	 แรง​จูงใจ (motivation) คือ​ความ​คิด​และ​ความ​รู้สึก​ซึ่ง​ทำ�ให้​เรา​อยาก​จะ​ทำ�​สิ่ง​ใด​สิ่ง​หนึ่ง​
และม​ ค​ี วามต​ ้องการท​ ีจ่​ ะก​ ระทำ�​อย่างต​ อ่ เ​นื่อง แรงจ​ งู ใจม​ ค​ี วามส​ �ำ คญั ใ​นก​ ารเ​รียนภ​ าษาต​ ่างป​ ระเทศม​ าก
ผู้​เรียน​สามารถ​จะเ​รียนร​ ู้ไ​ด้ด​ ีท​ ี่สุดเ​มื่อ​ได้เ​รียนใ​น​สิ่งท​ ี่​เขา​อยาก​รู้

      2. 	 กจิ กรรม​การ​เรยี นร​ ู้ ผู้เ​รียนจ​ ำ�เป็นต​ ้องต​ ื่นต​ ัว (active) มีส​ ่วนร​ ่วมใ​นก​ ารก​ ิจกรรมก​ ารเ​รียน​
การส​ อน ต้องม​ ีก​ ารเ​ชื่อมโ​ยงจ​ ากส​ ิ่งท​ ี่ผ​ ู้เ​รียนไ​ด้เ​รียนร​ ู้ม​ าแ​ ล้วก​ ับเ​รื่องใ​หม่ท​ ี่ก​ ำ�ลังจ​ ะเ​รียน ดังน​ ั้นใ​นก​ าร​
จัดการ​เรียนก​ ารส​ อนแ​ ต่ละค​ รั้งจ​ ะต​ ้องม​ ีก​ ารว​ างแผน​ล่วงห​ น้า

      3. 	 การ​ปฏิสัมพันธ์​กับ​ผู้​อื่น (interactions with others) การ​ปฏิสัมพันธ์​มี​ได้​หลาย​รูป​แบบ
เช่น การ​สอนแ​ บบ​บรรยาย​และก​ าร​จัด​สัมมนาแ​ บบ​ดั้งเดิม (conventional tutorials and seminars)
การ​ทำ�​กิจกรรม​กลุ่ม​และ​การ​ให้​ผู้​เรียน​สอน​กันเอง​ก็​สามารถ​ที่​จะ​ทำ�ให้​มี​ประสิทธิภาพ​ได้ ผล​จาก​การ​
ศึกษา​วิจัย​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​ผู้​เรียน​ที่​ช่วย​สอน​เพื่อน​สามารถ​เรียน​รู้​ได้​มากกว่า​ผู้​ที่​เป็น​แต่​เพียง​ผู้​เรียน​
เท่านั้น ซึ่ง​เป็นการย​ ืนยัน​ให้​ทราบว​ ่าการเ​รียน​รู้​ที่​ดี​ที่สุด​คือ ‘การ​สอน’

      4. 	 การเ​รียบ​เรียงค​ วาม​รูไ้​ วเ​้ ปน็ ​อย่างด​ ี (a well structured knowledge base) มีก​ ารเ​ชื่อม​โยง​
ความ​รู้​และ​ประสบการณ์​เดิมม​ า​เป็นป​ ระโยชน์​ต่อก​ าร​เรียน​รู้ และ​สิ่ง​ใหม่​ที่​กำ�ลัง​เรียน​รู้​ต้อง​มี​การเ​รียบ​
เรียงแ​ ละ​บูรณา​​การเ​ป็น​อย่าง​ดี

      ฮารเ​์ มอ​ ร์ (2547) กลา่ วว​ า่ ท​ ัง้ เ​ดก็ แ​ ละผ​ ูใ้ หญท​่ ปี​่ ระสบผ​ ลส​ �ำ เรจ็ ใ​นก​ ารเ​รยี นร​ ภู​้ าษาน​ อกห​ อ้ งเรยี น​
มักจ​ ะ​มีป​ ระสบการณ์ก​ าร​เรียนร​ ู้​ที่เ​หมือนก​ ัน​บางป​ ระการ ได้แก่

      1. 	 มี​โอกาส​ได้ยิน​ได้​ฟัง​และ​ได้​เห็น​การ​ใช้​ภาษา ซึ่ง​พอ​จะ​เข้าใจ​มาก​บ้าง​น้อย​บ้าง​อยู่​เสมอ
ถึงแ​ ม้ว่า​จะไ​ม่ส​ ามารถพ​ ูด​หรือ​เขียน​ภาษาแ​ บบ​เดียวกันน​ ั้นไ​ด้​อย่าง​คล่องแคล่วใ​นท​ ันที
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39