Page 36 - สารัตถะและวิทยวิธีทางภาษาอังกฤษ
P. 36

7-26 สารัตถะและวิทยวิธีทางภาษาอังกฤษ

ปรับป​ ระสบการณ์​ใหม่แ​ ละป​ ระสบการณ์เ​ดิมใ​ห้เ​ข้า​กันไ​ด้ ก็จ​ ะ​เกิด​ภาวะ​ความไ​ม่​สมดุล​ขึ้น ซึ่ง​จะก​ ่อใ​ห​้
เกิดค​ วาม​ขัดแ​ ย้ง​ทาง​ปัญญาข​ ึ้น​ในต​ ัวบ​ ุคคล

      การป​ ระยุกต์ใ​ชใ​้ น​การจ​ ดั การ​เรียน​การ​สอน
      ทฤษฎพี​ ฒั นาการท​ างส​ ตปิ​ ัญญาข​ องเ​พียเ​จท์ (Piaget’s Intellectual Development Theory)
สามารถ​นำ�​ไปใ​ช้ใ​น​การ​จัดการ​เรียนก​ าร​สอนไ​ด้​ดังนี้

           1)	 ผู้​สอน​ควร​จัด​ประสบการณ์​การ​เรียน​รู้​ให้​เหมาะ​สม​กับ​ลำ�ดับ​ขั้น​การ​พัฒนา​ทาง​สติ​
ปญั ญาข​ องเ​ดก็ เดก็ ท​ มี​่ อี ายเ​ุ ทา่ ก​ นั อ​ าจม​ พ​ี ฒั นาการท​ างส​ มองท​ แี​่ ตกต​ า่ งก​ นั ดงั น​ ัน้ จ​ งึ ไ​มค​่ วรเ​ปรยี บเ​ทยี บ​
เด็ก ควรใ​ห้​เด็กม​ ีอ​ ิสระใ​น​การเ​รียนร​ ู้ โดย​ผู้​สอน​ควร​จัด​สภาพ​แวดล้อม​ให้​เอื้อต​ ่อ​การ​เรียนร​ ู้ข​ องเ​ด็ก

           2) 	นอกจากน​ ี้ การพ​ ฒั นาห​ ลกั สตู รห​ รอื ก​ ารจ​ ดั ป​ ระสบการณก​์ ารเ​รยี นร​ คู​้ วรใ​หส​้ อดคลอ้ ง​
กบั พ​ ฒั นาการท​ างด​ า้ นภ​ าษาข​ องเ​ดก็ อ​ กี ด​ ว้ ย เพราะภ​ าษาเ​ปน็ เ​ครือ่ งม​ อื ส​ �ำ คญั ข​ องก​ ารค​ ดิ แ​ ละก​ ารพ​ ฒั นา​
เชาว์​ปัญญา​ขั้น​สูง พัฒนาการท​ างภ​ าษา​และท​ างค​ วามค​ ิดข​ อง​เด็กเ​ริ่มด​ ้วยก​ าร​พัฒนาท​ ี่​แยก​จาก​กัน แต​่
เมื่อ​อายุม​ าก​ขึ้น พัฒนาการ​ทั้งส​ อง​ด้านจ​ ะเ​ป็นไ​ป​ร่วมก​ ัน

           3) 	ผู้​สอน​ควร​จัด​กิจกรรม​การ​เรียน​รู้​ให้​ผู้​เรียน​มี​ส่วน​ร่วม (Engagement) เพื่อ​ให้​มี​
ความก​ ระตอื รอื ร้นห​ รอื เ​ป็นผ​ ูเ​้ รยี นแ​ บบเ​ชงิ ร​ กุ (Active Learners) ควรใ​หผ้​ ูเ​้ รยี นม​ ป​ี ฏิสัมพันธโ​์ ดยตรง​
กับ​สิ่ง​แวดล้อม ลองผ​ ิด​ลอง​ถูก เฝ้า​สังเกต ปฏิบัติซ​ ํ้าๆ และค​ ้นหาข​ ้อมูล เพื่อใ​ห้​เกิดก​ ารเ​รียน​รู้

           4)	 ใน​การ​สอน​โดยเ​ฉพาะเ​ด็กป​ ฐมวัยค​ วร​ใช้ส​ ิ่งท​ ี่เ​ป็นร​ ูปธ​ รรมแ​ ละโ​สต​ทัศนูปกรณ์ เพื่อ​
ช่วยใ​ห้เ​ข้าใจ​ได้​แจ่มช​ ัด​ขึ้น

           5) 	การ​เปิด​โอกาส​ให้​ผู้​เรียน​ได้​รับ​ประสบการณ์​และ​มี​ปฏิสัมพันธ์​กับ​สิ่ง​แวดล้อม ช่วย​
ใหเ้​กิดก​ ารซ​ ึมซับห​ รือด​ ูดซ​ ึมข​ ้อมูลเ​ข้าส​ ูโ่​ครงสร้างท​ างป​ ัญญา (Schemata) เป็นการ​ส่งเ​สริมพ​ ัฒนาการ​
ทางส​ ติป​ ัญญา​ของ​เด็ก

           6)	 ผเู​้ รยี นค​ วรไ​ดร​้ บั ป​ ระสบการณก​์ ารเ​รยี นร​ ทู​้ หี​่ ลากห​ ลายเ​พือ่ เ​ปน็ พ​ ืน้ ฐ​ านข​ องก​ ารเ​รยี นร​ ​ู้
มโนท​ ัศน์ (Concept Learning) และก​ าร​เรียนร​ ู้ภ​ าษา (Language Learning)

           7)	 ผู้​เรียน​ควร​ได้​รับ​การ​เสริม​แรง​ใน​ทาง​บวก (Positive Reenforcement) เมื่อต​ อบ​
คำ�ถาม​หรือท​ ำ�​กิจกรรมก​ ารเ​รียนร​ ู้​ได้ถ​ ูก​ต้อง เพื่อเ​ป็นแ​ รง​จูงใจ​ให้​ผู้​เรียนท​ ำ�งานไ​ด้ด​ ีย​ ิ่ง​ขึ้นแ​ ละป​ ระสบ​
ความส​ ำ�เร็จ​มากข​ ึ้น

      กล่าว​โดย​สรุป​ทฤษฎี​การ​เรียน​รู้​กลุ่ม​ปัญญา​นิยม (Cognitivism) ให้​ความ​สำ�คัญ​กับ​
กระบวนการท​ างป​ ญั ญาห​ รือก​ ระบวนการค​ ิด นกั ท​ ฤษฎกี​ ลุ่มน​ มี​้ คี​ วามเ​ชือ่ ท​ แี​่ ตกต​ า่ งจ​ ากก​ ลุ่มพ​ ฤติกรรม​
นิยม (Behaviorism) คือ เชื่อ​ว่าการ​เรียนร​ ู้ข​ อง​มนุษย์​ไม่ใช่เ​รื่อง​ของ​การ​เปลี่ยนแปลง​พฤติกรรม​ที่เ​กิด​
จากก​ ระบวนการต​ อบส​ นองต​ อ่ ส​ ิง่ เ​รา้ เ​ทา่ นัน้ แตเ​่ กดิ จ​ ากก​ ารเ​ปลีย่ นแปลงใ​นก​ ระบวนการค​ ดิ (Cognitive
Process) ที่ม​ ี​ความซ​ ับซ​ ้อนม​ ากกว่า ทฤษฎีก​ ารเ​รียนร​ ู้ก​ ลุ่มป​ ัญญา​นิยม (Cognitivism) ที่​สำ�คัญแ​ ละ​
นำ�​เสนอ​ใน​เรื่อง​ที่ 7.2.2 คือ ทฤษฎี​พัฒนาการ​ทาง​สติ​ปัญญา​ของ​เพีย​เจท์ (Piaget’s Intellectual
   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41