Page 49 - สารัตถะและวิทยวิธีทางภาษาอังกฤษ
P. 49

การพ​ ัฒนา​หลักสูตรภ​ าษา​อังกฤษ 7-39

และใ​นท​ างก​ ลับก​ ันผ​ ูเ้​รียนท​ ีม่​ คี​ วามแ​ ม่นยำ�​ในโ​ครงสร้างท​ างไ​วยากรณอ์​ าจจ​ ะข​ าดค​ วามค​ ล่องห​ รือค​ วาม​
ลื่น​ไหล​ใน​การพ​ ูดก​ ็เ​ป็นไ​ป​ได้

      นอกจากน​ ี้ Krashen ยัง​ได้พ​ ูด​ถึงเ​งื่อนไข 3 ประการ​ที่จ​ ะช​ ่วยใ​ห้​ผู้​เรียนภ​ าษา​ที่​สอง​นำ�​ความร​ ู​้
ที่ไ​ด้จ​ ากก​ ารเ​รียนภ​ าษาไ​ปใ​ช้ต​ รวจส​ อบแ​ ละแ​ ก้ไขภ​ าษาพ​ ูดห​ รือภ​ าษาเ​ขียนใ​ห้ม​ ีค​ วามถ​ ูกต​ ้องแ​ ม่นยำ�​ยิ่ง​
ขึ้น เงื่อนไข​ทั้ง 3 ประการ​ได้แก่

      1. 	 เงอ่ื นไขข​ องเ​วลา เพื่อใ​ห้ค​ ำ�​พูดท​ ี่ต​ ้องการจ​ ะส​ ื่ออ​ อกไ​ปม​ ีโ​ครงสร้างท​ างไ​วยากรณ์​ที่ถ​ ูกต​ ้อง
ผู้​พูด​จำ�เป็น​ต้อง​ใช้​เวลา​ใน​การ​นึกถึง​โครงสร้าง​ดัง​กล่าว แต่​โดย​ปกติ​ใน​สภาพ​การณ์​การ​สื่อสาร​ตาม​
ธรรมชาตนิ​ ั้น การพ​ ูดโ​ต้ตอบจ​ ะด​ ำ�เนินไ​ปอ​ ย่างร​ วดเร็ว ทำ�ใหผ้​ ูพ้​ ูดไ​ม่มเี​วลาท​ ีจ่​ ะต​ รวจส​ อบค​ วามถ​ ูกต​ ้อง
​ของ​โครงสร้าง​ทาง​ไวยากรณ์​ที่​ใช้ เพราะ​เนื้อหา​หรือ​สาร​ที่​ส่ง​ออก​ไป​รวม​ทั้ง​ความ​เข้าใจ​ใน​เนื้อหา​นั้น
เป็นส​ ิ่งท​ ีผ่​ ูพ้​ ูดแ​ ละผ​ ูฟ้​ ังใ​หค้​ วามส​ นใจม​ ากกว่าโ​ครงสร้างท​ างไ​วยากรณ์ เช่น ในก​ ารส​ นทนาภ​ าษาอ​ ังกฤษ
ถ​ ้าผ​ ูพ้​ ูดม​ ัวแ​ ตค่​ อยร​ ะวังว​ ่าป​ ระธานบ​ ุรุษท​ ี่ 3 กริยาต​ ้องเ​ติม –s เมื่อเ​ป็นป​ ัจจุบันก​ าล สภาพก​ ารณด์​ ังก​ ล่าว​
อาจจ​ ะก​ ่อใ​ห้​เกิดก​ าร​ชะงัก​งัน​ของ​การ​สนทนาก​ ็​เป็นไ​ด้

      2.	 ความถ​ ูก​ต้อง​ของ​ภาษา เพื่อใ​ห้การต​ รวจ​สอบเ​กิดข​ ึ้น​ได้ นอกจาก​มีเ​วลา​แล้ว ผู้พ​ ูด​จำ�เป็น​
ต้องม​ คี​ วามแ​ ม่นยำ�​ในร​ ูปแ​ บบข​ องภ​ าษา อย่างไรก​ ็ตาม ในส​ ภาพก​ ารณก์​ ารส​ ื่อสารจ​ ริง ผูพ้​ ูดอ​ าจจ​ ะไ​มไ่​ด​้
คำ�นึง​ถึง​ความ​ถูก​ต้อง​ดัง​กล่าว จึง​เป็น​เรื่อง​ปกติ​ที่​ใน​บาง​ครั้ง​ผู้​พูด​ละเลย​การ​ผัน​กริยา​ให้​อยู่​ใน​รูป​ที่​
ถกู ต​ อ้ ง ดังป​ รากฏใ​นต​ วั อย่างต​ ่อไ​ปน​ ี้ ซึ่งค​ สู่​ นทนาไ​มม่ ก​ี ารผ​ ันก​ รยิ าใ​หอ​้ ยูใ​่ นร​ ูปท​ ีถ่​ กู ต​ ้อง แตก​่ ารส​ นทนา​
ก็ย​ ัง​ดำ�เนิน​ต่อไ​ปไ​ด้

         A: Hi, Stephan, haven’t seen you for ages. Where have you been?
         B: Go to Istanbul last month. Just come back yesterday.

      3.	 ผพู้​ ดู จ​ �ำ เป็น​ตอ้ งร​ ู้​กฎ​เกณฑ์​ทางไ​ วยากรณ​์เป็นอ​ ย่าง​ดี แต่ใ​น​สภาพก​ ารณ์จ​ ริงม​ ี​สักก​ ี่​คน​ที่จ​ ะ​
จำ�​กฎ​เกณฑ์​ทางไ​วยากรณ์​ทั้งหมดท​ ี่เ​รียน​ไปเ​พื่อน​ ำ�​ไปใ​ช้​ในก​ าร​พูด​หรือก​ ารเ​ขียน

      นอกจาก​เงื่อนไข​ทั้ง 3 ประการ​ที่​มี​ผล​ต่อ​ประสิทธิภาพ​ของ​การ​ตรวจ​สอบ​แล้ว Krashen ยัง​
ได้​แบ่ง​ประเภท​ของ​ผู้​เรียน​ภาษา​ตาม​ลักษณะ​ของ​การ​ใช้​การ​ตรวจ​สอบ​ทาง​ภาษา​ออก​เป็น 3 ประเภท
(Krashen, 1982) ได้แก่

      1.	 ผเ้​ู รียน​ภาษา​ท​ม่ี ​กี ารใ​ช้​การ​ตรวจ​สอบ​มาก​เกนิ ​ไป (Monitor Over-Users) ผู้เ​รียนภ​ าษาจ​ ะ​
นำ�​ความร​ ู้ท​ าง​ภาษา (Explicit Knowledge) ที่ไ​ด้​เรียนม​ าค​ อยต​ รวจส​ อบ​ความ​ถูก​ต้อง​ของ​ภาษาท​ ี่พ​ ูด​
หรือ​เขียน​ตลอด​เวลา ดัง​นั้น ผู้​เรียน​กลุ่ม​นี้​จะ​มี​การ​หยุด​ชะงัก​ใน​ขณะ​สนทนา​เป็น​ระ​ยะๆ มี​การ​แก้ไข​
ภาษา​ที่​ตนเอง​พูด​บ่อย​ครั้ง และ​กังวล​เกี่ยว​กับ​ความ​ถูก​ต้อง​ของ​ภาษา​อยู่​ตลอด​เวลา ทำ�ให้​ขาด​ความ​
คล่องห​ รือค​ วามลื่นไ​หล​ใน​การพ​ ูด
   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54