Page 25 - ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ และแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์
P. 25

แนวคิดเ​ศรษฐศาสตร์ก​ ระแสห​ ลักใ​น​ปัจจุบัน 13-15

เรือ่ ง​ท่ี 13.2.1
สมมตฐิ าน​วา่ ด​ ว้ ยก​ ารค​ าดค​ ะเนท​ ่​สี มเ​หตุ​สมผ​ ล

       ข้อ​สรุป​ของ​ทั้ง​นัก​เศรษฐ​ศาสตร์​เคน​ส์​เซียน​และ​การ​เงิน​นิยม​ที่​ว่า นโยบาย​ของ​รัฐบาล เช่น นโยบาย​การ​เงิน
สามารถ​ส่ง​ผลต​ ่อ​ระดับ​ราคา ผลผลิต การจ​ ้าง​งาน และ​รายไ​ด้ป​ ระชาชาติต​ ัว​เงิน​ในร​ ะยะส​ ั้น​ได้นั้น ยืนอ​ ยู่บ​ นข​ ้อ​สมมต​ิ
ที่​ว่า ทั้งคนง​ าน​และบ​ ริษัท​มี​ข้อมูล​อันจ​ ำ�กัดเ​กี่ยวก​ ับ​ระดับร​ าคา​ในป​ ัจจุบัน ทำ�ให้​ทั้งคนง​ านเ​สนอ​ขายแ​ รงงานแ​ ละบ​ ริษัท​
จัด​จ้างแ​ รงงาน​ใน​ปริมาณท​ ี่​อาจไ​ม่​ตรงก​ ับร​ ะดับ​ราคา​ที่แท้​จริง​ได้

       ตวั อยา่ งเ​ชน่ หากธ​ นาคารก​ ลางด​ �ำ เนินน​ โยบายก​ ารเ​งนิ แ​ บบผ​ ่อนค​ ลายด​ ้วยก​ ารเ​พิ่มป​ รมิ าณเ​งินใ​นร​ ะบบแ​ ละล​ ด​
อัตราด​ อกเบี้ย ทำ�ให้ก​ ารใ​ช้จ​ ่ายม​ วลร​ วมเ​พิ่มข​ ึ้น ผลักด​ ันใ​ห้ร​ ะดับร​ าคาส​ ินค้าส​ ูงข​ ึ้น บริษัทเ​ข้าใจว​ ่า การเ​พิ่มข​ ึ้นข​ องร​ าคา​
เป็น​ปรากฏการณ์​ระยะ​ยาว จึง​เพิ่ม​การ​จ้าง​งาน​ด้วย​การ​เพิ่ม​ค่า​จ้าง​ตัว​เงิน​เพื่อ​จูงใจ​ให้​คน​งาน​เสนอ​ขาย​แรงงาน​มาก​ขึ้น
ส่วนค​ นง​ านก​ ็ย​ ังไ​ม่ร​ ับร​ ู้ว​ ่า ระดับร​ าคาท​ ี่แท้จ​ ริงไ​ด้เ​พิ่มส​ ูงข​ ึ้นแ​ ล้ว จึงเ​ข้าใจผ​ ิดว​ ่า ค่าจ​ ้างต​ ัวเ​งินท​ ี่เ​พิ่มข​ ึ้นน​ ั้นเ​ท่ากับค​ ่าจ​ ้าง​
ที่แท้จ​ ริง​ที่เ​พิ่มข​ ึ้นด​ ้วย คน​งานจ​ ึงย​ ินดี​เสนอ​ขายแ​ รงงาน​มากข​ ึ้นเ​ช่น​กัน ต่อ​มา คน​งานเ​ริ่มร​ ับ​รู้ว​ ่า ระดับร​ าคา​ที่แท้​จริง​
นั้นไ​ด้เ​พิ่ม​สูง​ขึ้นม​ ากกว่าก​ ารเ​พิ่มค​ ่าจ​ ้าง​ตัว​เงิน เป็น​ผลใ​ห้ค​ ่า​จ้าง​ที่แท้จ​ ริง​มิได้เ​พิ่ม​ขึ้น หาก​แต่​กลับล​ ดล​ ง คนง​ าน​จึง​เริ่ม​
เรียกร​ ้องค​ ่าจ​ ้างต​ ัวเ​งินท​ ี่ส​ ูงข​ ึ้นเ​พื่อช​ ดเชยก​ ับร​ าคาท​ ีส่​ ูงข​ ึ้น ตลอดจ​ นล​ ดก​ ารเ​สนอข​ ายแ​ รงงานล​ ง ผลก​ ค็​ ือ บริษัทม​ ตี​ ้นทุน​
สูงข​ ึ้น ระดับร​ าคาเ​พิ่มข​ ึ้นอ​ ีกแ​ ละล​ ดก​ ารจ​ ้างง​ านล​ ง เป็นผ​ ลใ​ห้ท​ ั้งก​ ารจ​ ้างง​ าน ผลผลิตแ​ ละร​ ายไ​ด้ป​ ระชาชาติท​ ี่แท้จ​ ริงล​ ด​
ลงก​ ลับ​มา​สู่จ​ ุดเ​ริ่ม​ต้น​เดิม​ใน​ที่สุด แต่​มีร​ ะดับ​ราคา​สินค้า​สูงข​ ึ้น

       ทั้ง​เศรษฐ​ศาสตร์​เคน​ส์​เซียนแ​ ละ​แนวคิด​การเ​งิน​นิยม​ทำ�การว​ ิเคราะห์บ​ นส​ มมติฐานท​ ี่ว​ ่า คนง​ านม​ ี​พฤติกรรม​
คาด​คะเน​ราคา​สินค้า​แบบ​มอง​ไป​ข้าง​หลัง​หรือ​แบบ​ปรับ​ตัว (Backward-Looking or Adaptive Expectations
Hypothesis) คือใ​ช้ร​ ะดับร​ าคาส​ ินค้าใ​นอ​ ดีตเ​ป็นข​ ้อมูลป​ ระการเ​ดียวใ​นก​ ารค​ าดค​ ะเนร​ ะดับร​ าคาส​ ินค้าใ​นป​ ัจจุบัน โดย​
ไม่​พิจารณา​ตัวแ​ ปร​ อื่นๆ เช่น นโยบายร​ ัฐบาล​ใน​อดีต รวม​ทั้งต​ ัวแปร​ทาง​เศรษฐกิจ​อื่น แต่​สมมติฐาน​ดัง​กล่าวก​ ลับม​ ี​นัย​
ที่ไ​ม่​พึงป​ ระสงค์​คือ คน​งานม​ ีพ​ ฤติกรรม​ที่ไ​ม่ส​ มเ​หตุ​สมผ​ ล และ​กระทำ�​ผิด​พลาด​ซํ้าร​ อยเ​ดิม​อยู่​ตลอดเ​วลา

       ดัง​เช่นต​ ัวอย่าง​ข้าง​ต้น เมื่อ​ธนาคารก​ ลางเ​พิ่มป​ ริมาณเ​งินใ​น​ระบบเ​ศรษฐกิจ ใน​ระยะส​ ั้น คนง​ าน​จะ​คาด​คะเน​
ระดับ​ราคา​สินค้า​ผิด​พลาด​และ​เสนอ​ขาย​แรงงาน​ใน​ปริมาณ​ที่​มาก​เกิน​ไป การ​ปรับ​ตัว​ขั้น​ต่อ​มา​คือ คน​งาน​รับ​รู้​ราคา​ที่
แท้​จริง และ​ตัดสิน​ใจ​ลด​การ​เสนอ​ขาย​แรงงาน​ลง​มา​อยู่​ระดับ​เดิม ปัญหา​ของ​สมมติฐาน​การ​คาด​คะเน​แบบ​มอง​ไป​
ข้าง​หลัง​ก็​คือ ถ้า​ธนาคาร​กลาง​ดำ�เนิน​นโยบาย​ผ่อน​คลาย​แบบ​เดิม​อีก คน​งาน​ก็​จะ​ยัง​คาด​คะเน​ระดับ​ราคา​ผิด​และ​
เสนอข​ ายแ​ รงงานผ​ ิดเ​ช่นเ​ดิมอ​ ีกท​ ุกค​ รั้งโ​ดยไ​มเ่​คยเ​รียนร​ ูจ้​ ากป​ ระสบการณเ์​ลยว​ ่า ปริมาณเ​งินท​ ีเ่​พิ่มข​ ึ้นท​ ำ�ใหร้​ าคาส​ ินค้า​
ที่แท้​จริง​เพิ่มส​ ูงข​ ึ้นท​ ุกค​ รั้ง พฤติกรรมท​ ี่ก​ ระทำ�​ผิด​ซํ้า​รอย​เดิม​เช่นน​ ี้​ถูก​มอง​ว่า “ไม่​สม​เหตุ​สม​ผล” เพราะบ​ ุคคล​ใน​ทาง​
เศรษฐศาสตร์น​ ั้นม​ ี​พฤติกรรม​สมเ​หตุส​ มผ​ ล และ​ย่อม​เรียนร​ ู้​จากค​ วาม​ผิดพ​ ลาดใ​นอ​ ดีต โดย​จะ​ไม่​กระทำ�​ผิด​ซํ้าอ​ ีกใ​น​
อนาคตห​ าก​มี​ข้อมูล​ที่เ​พียงพ​ อ

       นักเ​ศรษฐศาสตรก์​ ลุ่มห​ นึ่งน​ ำ�​โดยโ​รเ​บิร์ต ลูคัส (Robert Lucas) และ โทม​ ัส ซารเ์​จ้น (Thomas Sargent) แห่ง​
มหาวิทยาลัยช​ ิคาโก จึงไ​ด้พ​ ัฒนาส​ มมติฐานว​ ่าด​ ้วยก​ ารค​ าดค​ ะเนแ​ บบใ​หม่ข​ ึ้นใ​นป​ ลายท​ ศวรรษ 1970 และต​ ้นท​ ศวรรษ
1980 และถ​ ูก​เรียก​ว่า สมมติฐาน​การ​คาด​คะเน​ที่ส​ มเ​หตุ​สมผ​ ล (Rational Expectations Hypothesis) โดยก​ ล่าวว​ ่า
ทั้ง​นายจ้าง​และ​คน​งาน​จะ​ทำ�การ​คาด​คะเน​ค่าตัว​แปร​ใดๆ (เช่น ระดับ​ราคา​สินค้า​ปัจจุบัน) โดย​ใช้​ข่าวสาร​ข้อมูล​และ​
ค่าตัว​แป​รอื่นๆ ที่​เกี่ยวข้อง​และ​ที่​มี​อยู่​ทั้งหมด​อย่าง​มี​ประสิทธิภาพ​ชาญ​ฉลาด โดย​สามารถ​ระบุ​ความ​สัมพันธ์​ระหว่าง​
ตัวแปร​ต่างๆ ได้​อย่างถ​ ูก​ต้อง
   20   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30