Page 25 - การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
P. 25

การประยุกต์ใช้ผลการวิจัยด้านการเรียนรู้ภาษา การเรียนรู้ภาษาที่สอง ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ 2-15

ถือได้ว่ากลไกดังกล่าวนั้นเป็นส่วนส�ำคัญของกระบวนการการเรียนรู้โดยผ่าน “ขอบข่ายในการมีโอกาส
พัฒนาศักยภาพในตน” ของผู้เรียน

       งานวิจัยท่ียึดกรอบทฤษฎีสังคมและวัฒนธรรมท่ีจะกล่าวถึง จึงมีความเก่ียวพันกับงานวิจัยในหัวข้อ
2.1.2 อยู่พอสมควร ตวั อยา่ งงานวจิ ัยตามแนวทฤษฎสี ังคมและวฒั นธรรมท่ีจะขอยกเปน็ ตวั อยา่ งมีดงั ต่อไปน้ี

       รสั ซาอี (Rassaei, 2014) ศกึ ษากลไกการใหข้ อ้ มลู ปอ้ นกลบั เพอื่ แกไ้ ขภาษาภายใตก้ รอบทฤษฎสี งั คม
และวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นเรื่อง 1) การให้ตัวช่วยในการเรียนรู้โดยผู้สอนตะล่อมประเด็นเป็นข้ันตอน
(scaffolded feedback) และ 2) การแก้ไขโดยการพูดทวนค�ำพูดของผู้เรียนท่ีผิดแต่ใช้รูปแบบที่ถูก (recast)
โดยคาดหวังว่าผู้เรียนจะสามารถสังเกตและจดจ�ำส่ิงท่ีผู้สอนแก้ไขทางอ้อมน้ีได้ กลุ่มทดลองเป็นนักศึกษา
ชาวอิหร่านซ่ึงเรียนภาษาอังกฤษจ�ำนวน 78 คน กลุ่มทดลองสองกลุ่มจะได้รับผลข้อมูลป้อนกลับแบบที่ (1)
และแบบท่ี (2) แต่กลุ่มควบคุมไม่ได้รับการแก้ไขไม่ว่าจะเป็นรูปแบบท่ี (1) หรือ (2) กลุ่มทดลองท�ำแบบ
ทดสอบทั้งก่อนและหลังการสอนแบบต่าง ๆ ผลการทดลองพบว่าการด�ำเนินการแบบที่ (1) ให้ผลสัมฤทธ์ิดี
กว่าการด�ำเนินการแบบที่ (2) และดีกว่าผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มควบคุม

       สต๊อช (Storch, 2002) ศึกษาลักษณะของการมีปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนที่เป็นแบบคู่ประเภทต่าง ๆ
กลุ่มทดลองเป็นนักศึกษาต่างชาติที่เรียนภาษาอังกฤษในประเทศออสเตรเลีย โดยท�ำการทดลองกับนักศึกษา
จ�ำนวน 10 คู่ นักศึกษาท้ังสิบคู่น้ีอยู่ในชั้นเรียนการเขียนภาษาอังกฤษและ “งาน” ที่ได้รับมอบหมายมีสาม
ลกั ษณะคอื การเขยี นเรยี งความ การแกไ้ ขภาษาเขยี น และการเขยี นโดยเนน้ การใชค้ ำ� บพุ บทและคำ� นำ� หนา้ นาม
และการเปล่ียนประเภทของค�ำ ท้ังนี้ประเภทของคู่ที่จับน้ันมี 4 ลักษณะคือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ผู้เรียนร่วมมือกัน
อย่างเท่า ๆ กันและมีความสามารถทางภาษาในระดับที่พอ ๆ กัน กลุ่มท่ี 2 คือ กลุ่มที่ไม่ค่อยมีความร่วมมือ
กันหรือไม่มีความสามารถที่เรียนรู้จากกันและกันได้ กลุ่มที่ 3 คือ ฝ่ายหน่ึงจะมีบทบาทมากกว่าอีกฝ่ายหน่ึง
และอีกฝ่ายหน่ึงก็ไม่แสดงความกระตือรือร้นท่ีจะมีส่วนร่วมในงานคู่ กลุ่มท่ี 4 แม้ว่าฝ่ายหน่ึงจะ
มีความสามารถและดูเหมือนจะมีบทบาทในการท�ำงานคู่มากกว่าแต่ก็ไม่ได้เป็นในลักษณะของการข่มอีก
ฝ่ายหนึ่ง แต่มีลักษณะเป็นแบบการคอยให้ค�ำแนะน�ำและให้ก�ำลังใจอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดการเรียนรู้ไปด้วยกัน
ผลการวิจัยพบว่าคู่ท่ีหน่ึงและคู่ที่ส่ีมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูงกว่าอีกสองกลุ่ม เพราะทั้งสองกลุ่มมีกลไกของ
การช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบตะล่อมไปด้วยกัน (collective scaffolding) ในขณะที่อีกสองกลุ่มไม่มีกลไก
ดังกล่าว

       การประยุกต์ผลการวิจยั ดังกล่าวขา้ งต้นในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษนั้นมีข้อสรุปได้ 2 ประการ
หลักคือ ประการที่หนึ่งการเรียนการสอนตามทฤษฎีสังคมและวัฒนธรรม ควรเน้นเรื่องการท�ำงานเป็นคู่หรือ
เป็นกลุ่มเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีการเจรจาทั้งในประเด็นความหมายและไวยากรณ์ และใน
ประการท่ีสองการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันโดยการท�ำงานเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มน้ันเป็นการเรียนรู้ที่
มีประสิทธิภาพไม่น้อยไปกว่าการที่ผู้สอนด�ำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์โดยตรง เพราะในที่สุด
แล้วการเรียนภาษาที่สองน้ันผู้เรียนจ�ำเป็นต้องได้รับโอกาสที่จะผลิตภาษาข้ึนมาด้วยตนเองซ่ึงจะเป็นการ
อ�ำนวยให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ได้ด้วยตนเองว่าควรจะพัฒนาทักษะภาษาได้อย่างไร

              หลงั จากศกึ ษาเนือ้ หาสาระเรือ่ งที่ 2.1.4 แล้ว โปรดปฏิบตั ิกจิ กรรม 2.1.4
                      ในแนวการศกึ ษาหน่วยที่ 2 ตอนที่ 2.1 เรอ่ื งที่ 2.1.4
   20   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30