Page 36 - การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
P. 36

2-26 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

       สิ่งท่ีควรสังเกตอีกประการหน่ึงก็คือ วิธีการสอนท่ีเน้นการส่ือสารนี้ถือเป็นกรอบหรือแนวทางในการ
ด�ำเนินการเรียนการสอน (approach) คุณลักษณะเช่นนี้นี่เองท่ีถือเป็นท้ังจุดแข็งและจุดอ่อนของวิธีการสอน
แบบนี้ จุดแข็งก็คือเป็นวิธีท่ีบูรณาการทักษะภาษาอังกฤษเข้าไว้ด้วยกัน เปิด “โอกาส” ให้ผู้สอนได้ทดลอง
กิจกรรมการสอนแบบต่าง ๆ ได้ตามที่เห็นสมควรและเป็นไปตามหลักการของวิธีการสอนแบบน้ี จุดอ่อนก็
คือ เม่ือเป็นวิธีที่ไม่ระบุขั้นตอนกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ตายตัว จึงถือเป็นช่องโหว่ที่ท�ำให้ผู้สอนแต่ละ
คนที่มีความเข้าใจเร่ืองวิธีการสอนแบบน้ีไม่ตรงกับท่ีผู้คิดค้นวิธีการสอน ด�ำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน
ไปตามความเข้าใจหรือความไม่เข้าใจของตนเอง เช่น ตีความว่าวิธีการสอนแบบนี้ไม่สอนไวยากรณ์ ก็เลยไม่
สนใจทจี่ ะสอนไวยากรณ์ หรอื เขา้ ใจผดิ วา่ วธิ กี ารสอนแบบนเี้ ปน็ ทกั ษะการฟงั และการพดู มากกวา่ อกี สองทกั ษะ
ก็จึงละเลยทักษะการอ่านและการเขียน เป็นต้น

       เนื่องจากวิธีการสอนท่ีเน้นการส่ือสารนี้ไม่ก�ำหนดข้ันตอนการสอนท่ีตายตัวแต่เน้นความส�ำคัญของ
ผู้เรียนในส่วนที่เก่ียวกับความต้องการในการเรียนภาษาท่ีสองของพวกเขา จึงท�ำให้เกิดรูปแบบที่ปลีกย่อยลง
ไปในแนวทางการเรียนการสอนนี้ เช่น การสอนภาษาที่เน้นเร่ืองของงานหรือกิจกรรม (Task-based lan-
guage teaching) ซึ่งเป็นหัวข้อถัดไป

       4. 	วิธีการสอนที่เน้นเร่ืองของงาน (Task-Based Language Teaching) วิธีการสอนท่ีเน้นเร่ืองของ
งานหรือกิจกรรมน้ีโรบินสัน (Robinson, 2009) ได้กล่าวอ้างอิงงานของ Long (2000) โดยระบุว่าวิธีการสอน
ที่เน้นเรื่องงานหรือกิจกรรมน้ีมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ ประการแรก ผู้สอนต้องส�ำรวจความต้องการของผู้เรียน
ในเร่ืองของการเรียนภาษาท่ีสอง จากน้ันจึงน�ำข้อมูลมาก�ำหนดลักษณะ “งาน” ท่ีต้องสอนเพ่ือตอบสนอง
ความต้องการของผู้เรียนเป็นส�ำคัญ “งาน” ท่ีว่านี้จะสะท้อนถึงความสมจริงของการใช้ภาษาในชีวิตจริง และ
แนวคิดเร่ือง “งาน” นี้ก็แบ่งย่อยออกเป็น “งาน”ท่ีเป็นจริงในเชิงวิชาการ และ “งาน” ท่ีเป็นจริงอันหมายถึง
บริบทของการท�ำงานอาชีพ เช่น การใช้ภาษาอังกฤษในธุรกิจการธนาคาร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเรียนการ
สอนภาษาที่สองตามวิธีการสอนที่เน้นเร่ืองงานหรือกิจกรรมนี้ จะตัดทอนประเด็นทางภาษาท่ีไม่จ�ำเป็นต้องใช้
ออกไป และมุ่งสอนเฉพาะส่ิงท่ีผู้เรียนคาดว่าจะน�ำไปใช้ได้จริง เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่ว่ามโนทัศน์เร่ือง “งาน”
น้ีจะหมายถึงกิจกรรมในช้ันเรียนหรือรูปแบบและหน้าท่ีของภาษาตามที่ใช้ในอาชีพต่าง ๆ นอกช้ันเรียนน้ัน
เป็นมโนทัศน์ท่ีสามารถจัดอยู่ในทฤษฎีหรือแนวคิดสองแนวทาง คือ การนิยามมโนทัศน์เรื่อง “งาน” ตาม
แนวทางภาษาศาสตร์จิตวิทยา (Skehan, 1998) ซึ่งถือว่า “งาน” เป็นเคร่ืองมือในการเก้ือหนุนให้ผู้เรียน
สามารถคิดและพิจารณาไวยากรณ์และลักษณะต่าง ๆ ของภาษาได้หรือเป็นเครื่องมือที่คอยก�ำกับการพัฒนา
ในการรับภาษาท่ีสอง การพิจารณาตามวิธีดังกล่าวนี้ก�ำหนดให้เรื่อง “งาน” เป็นส่ิงท่ีอยู่นอกเหนือตัวผู้เรียน
และรปู แบบภาษา เปน็ เพยี งเครอื่ งมอื ในการนำ� ไปสกู่ ารพฒั นาทกั ษะภาษา ในขณะเดยี วกนั แนวคดิ เรอ่ื ง “งาน”
นั้นก็มีนักทฤษฎีการรับภาษาท่ีสองจ�ำนวนหน่ึงเห็นว่ามโนทัศน์เร่ือง “งาน” น้ีเองต่างหากที่เป็นสารัตถะส�ำคัญ
มิใช่เป็นเพียง “เคร่ืองมือ” ไปสู่การพัฒนาการรับภาษาที่สอง เอลลิส (Ellis, 2000) ระบุว่านักทฤษฎีการรับ
ภาษาท่ีสองกลุ่มน้ี ซ่ึงเป็นกลุ่มทฤษฎีสังคมและวัฒนธรรม (Socio-cultural theorists) มีสมมติฐานส�ำคัญ
ว่าการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อันรวมถึงการเรียนรู้ภาษาที่สองน้ันเกิดขึ้นในกิจกรรมแห่งการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
หรือในบรรดาบุคคล มิใช่เป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนโดยผ่านกิจกรรมการมีปฏิสัมพันธ์ทางภาษา กล่าวได้ว่า การมี
   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41