Page 44 - พื้นฐานสังคมเเละวัฒนธรรมเขมร
P. 44

6-34 พื้นฐานสงั คมและวัฒนธรรมเขมร
       ต่อมาคาคล้องจองนามาเรียงต่อกันให้มีความยาวมากขึ้น มีระเบียบแบบแผนมากข้ึน จึงถูก

นาไปใช้ในการร้องราทาเพลง ท่ีเรียกว่า ceRmógRbCaRbiy “เพลงพ้ืนบ้าน” เช่น บทร้องในเพลงระบา
เคาะสาก (ceRmógr)aMeKaHGERg) วา่

sarikaEkveGIy         sarikaEkvekIc
bgelam[esIc           cg;emIleFµjexµA.
RsIRss;RbehIr         RsIRss;RbehIr
Rby½tñeCIgedIr        ERkgGERgdMeCIg.

/ซา เระ กา แกว เอย    ซา เระ กา แกว เกจิ
บอง โลม โอย เซิจ      จอ็ ง เมิล ทมญึ คเมา
ซเรย็ ซเราะฮ ปรอ เฮอ  ซเร็ย ซเราะฮ ปรอ เฮอ
ปรอ ยัต เจิง เดอ      แกรง ออ็ ง แร ด็อม เจงิ /

“สาริกาแก้วเอย        สาลกิ าแก้วเชิด
พ่โี ลมให้ขา          อยากดูฟนั ดา
สาวสวยหอมฟงุ้         สาวสวยหอมฟงุ้
ระวังตีนเดิน          เกรงสากกระท้งุ ตีน”

       เม่ือคาคล้องจองพัฒนาถึงข้ันสุดในสมัยหลังพระนคร (พุทธศตวรรษท่ี 20-24) จึงเกิดเป็นลักษณะ
คาประพันธ์ร้อยกรองที่มีระเบียบแบบแผนมากมายท้ังจานวนคาและสัมผัสคล้องจองในวรรคและสัมผัส

ระหว่างบท เช่น kMNaBü เทียบกับไทยคือ “กาพย์” เช่น BMenal “บทพโนล-กาพย์ฉบัง” kakKti “บท

กากคติ-กาพย์สุรางคนางค์” เป็นต้น โดยได้รับอิทธิพลจากฉันท์ที่แต่งด้วยภาษาบาลีสันสกฤต และ

ต่อมาได้รับอิทธิพลรูปแบบคาประพันธ์ประเภทกลอนจากไทย จึงพัฒนาเป็น Bakü “บทพากย์” เช่น
Bakü7 “กลอน 7” Bakü8 “กลอน 8” เป็นต้น นิยมนามาถ่ายทอดวรรณคดีบทละครต่างๆ ตัวอย่างเช่น

บทละครเรอ่ื งรามเกียรติภ์ าษาเขมรผกู ที่ 75 ตอนหน่ึงว่า
   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49