Page 24 - วัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว
P. 24

11-14 วฒั นธรรมกับการท่องเทยี่ ว
       ต่อมาในสมัยอยุธยามีหลักฐานบันทึกเก่ียวกับอาหารชัดเจนกว่าสมัยสุโขทัย ท้ังบันทึกของ

ลาลแู บร์ ราชทตู จากฝรงั่ เศส บนั ทกึ ของแซรแ์ วส บนั ทกึ ของวนั วลติ ชาวเนเธอรแ์ ลนดท์ เ่ี ขา้ มาสมยั พระเจา้
ปราสาททอง โดยผู้คนสมัยอยุธยายังคงรับประทานข้าวเปน็ อาหารหลกั และยงั เป็นสินคา้ ทางเศรษฐกิจท่ี
ส�ำคญั อกี ดว้ ย โดยเทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วสมยั อยุธยามี 3 แบบ ไดแ้ ก่ ขา้ วนาหวา่ น ขา้ วนาด�ำ ขา้ วไร่
และอาหารทีร่ ับประทานมีความหลากหลายดังเหน็ ได้จากบันทกึ ของลาลแู บร์ ทกี่ ล่าววา่

       “อาหารหลกั ของเขาคอื ข้าวกบั ปลา ท้องทะเลได้ให้หอยนางรมตัวเล็กๆ มีรสชาติที่ดมี าก แล้วก็
เต่าขนาดย่อม เน้ือรสดี กุ้งทุกขนาด และปลาเน้ือดีอีกเป็นอันมาก ซ่ึงพวกเราไม่ทราบว่าเป็นพันธุ์อะไร
แมน่ า้ํ ลำ� คลองกอ็ ดุ มสมมบรู ณด์ ว้ ยปลาเปน็ ปลาไหลตวั งามๆ แตช่ าวสยามไมส่ นู้ ยิ มบรโิ ภคปลาสดกนั มาก
นัก เพราะเคยเห็นอยู่กับศพท่ีลอยน้ํามา”....... “ชาวสยามมีความยุ่งยากใจเป็นอันมากต่อการท่ีหมักเค็ม
ใหด้ ีได้.....แม้ปลาเนา่ กเ็ ป็นท่นี ิยมชมชอบ”

       จากบันทึกนี้แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมการแปรรูปอาหารและถนอมอาหารของคนในสมัยอยุธยา
คือการหมกั ปลาโดยใช้เกลือ อกี ท้งั ยงั รบั ประทานอาหารทะเลอกี อ่นื ๆ อกี ดว้ ย สภาพเศรษฐกิจและสภาพ
วิถีชีวิตของผู้คนได้มีหลักฐานบ่งบอกว่าข้าวปลาอาหารในสมัยอยุธยาอุดมสมบูรณ์หาง่ายมากและมีราคา
ถูก ท�ำให้คนไทยไมต่ อ้ งขยนั ทำ� มาหากินมากกใ็ ช้ชวี ิตอยูไ่ ด้ ทำ� งานหาเงนิ เพยี งเล็กนอ้ ยก็สามารถซอ้ื ข้าว
ปลาอาหารในตลาดได้มากมาย ดังบันทกึ ของลาลูแบร์ทเ่ี ขยี นไว้วา่

       “...ข้าวซ่ึงมีนํ้าหนักวันละ 1 ปอนด์ ราคาตกราว 1 ลิอาร์ด แล้วก็มีปลาแห้งซึ่งราคาค่างวดก็ไม่
แพงไปกวา่ ราคาขา้ วนัก...ฉะนัน้ จงึ มพิ งึ สงสัยว่าเหตไุ ฉนชาวสยามจงึ ไม่สจู้ ะสนใจกับการท�ำมาหาเลีย้ งชพี
มากนัก พอตกค่�ำลงก็ได้ยินเสียงร้องร�ำท�ำเพลงไปท่ัวทุกบ้านเรือน” (ลาลูแบร์, 2510 อ้างใน ระดม
พบประเสริฐ, 2549)

       ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเกิดการแลกเปล่ียนวัฒนธรรมกับชาวต่างชาติที่เดินทางมา
ทำ� การคา้ และเจรญิ สมั พนั ธไมตรี จนเกดิ หมบู่ า้ นของชาวตา่ งชาตมิ ากมาย เชน่ หมบู่ า้ นโปรตเุ กส หมบู่ า้ น
ญี่ปนุ่ หม่บู ้านจีน หมูบ่ ้านเปอรเ์ ซีย หมู่บา้ นฮอลันดา หม่บู า้ นญวน โดยผคู้ นเหลา่ นไี้ ด้นำ� ภูมปิ ญั ญาการ
ทำ� อาหารของชาตติ นเองมาเผยแพรใ่ หค้ นไทยไดร้ จู้ กั เชน่ ชาวโปรตเุ กสนำ� พรกิ เขา้ มาแนะนำ� ใหแ้ กค่ นไทย
จนกระทง่ั ไดก้ ลายมาเปน็ วตั ถดุ บิ หลกั ในอาหารไทย อกี ทงั้ ยงั แนะนำ� การนำ� ไขแ่ ดงมาทำ� ขนม จนกลายเปน็
เมนูทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมไข่เต่า ทองม้วน ขนมผิง ซึ่งจากเดิมคนไทยไม่
นิยมน�ำไข่แดงมาท�ำขนมแต่จะใช้เพียงแป้ง กะทิ นํ้าตาลเท่านั้น นอกจากน้ีพ่อครัวชาวอินเดียยังแนะน�ำ
เมนแู กงมัสม่นั ใหค้ นไทยได้รูจ้ กั จนกลายเป็นอาหารทอี่ ย่ใู นสำ� รบั ตอ้ นรบั แขกบา้ นแขกเมอื ง

       สำ� หรบั ขนมและเครอ่ื งดมื่ ในสมยั อยธุ ยามไี มม่ ากมายนกั สามญั ชนดมื่ เพยี งนา้ํ เปลา่ และนาํ้ มะพรา้ ว
เท่าน้ัน และมีเคร่ืองด่ืมมึนเมาไว้ส�ำหรับสังสรรค์ ส�ำหรับขนม ของหวาน และของรับประทานเล่น เช่น
เมี่ยง หมาก ขนมชะมด ขนมกง ผลไม้ จนได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกสท�ำให้เกิดขนมหวานใหม่ขึ้น เช่น
   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28   29