Page 26 - วัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว
P. 26
11-16 วฒั นธรรมกบั การท่องเที่ยว
“นอ้ ยหนา่ นำ� เมล็ดออก ปอ้ นเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์
มอื ใครไหนจักทนั เทยี บเทยี มทฝ่ี ีมือนาง”
อาหารชาววงั หรอื ชนชนั้ สงู ในสมยั นน้ั จะประกอบดว้ ยอาหารหลายๆ ชนดิ ไวร้ บั ประทานรว่ มกบั ขา้ ว
เรียกว่า ส�ำรับ และในแต่ละส�ำรับจะประกอบด้วยอาหารท่ีเสริมรสชาติซึ่งกันและกัน เช่น หากในส�ำรับมี
แกงกะทแิ ลว้ เครอ่ื งจมิ้ ไมค่ วรเปน็ หลนกะทอิ กี เพราะจะทำ� ใหเ้ ลยี่ น แตค่ วรใชน้ า้ํ พรกิ ปลาทผู กั สดแทน การ
จดั สำ� รบั ใหส้ มดลุ ถอื เปน็ ศาสตรแ์ ละศลิ ปท์ ท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ประโยชนท์ ง้ั ทางสนุ ทรยี ะ และประโยชนท์ างโภชนาการ
อีกด้วย (ระดม พบประเสริฐ, 2549)
2. สมัยการรับวัฒนธรรมตะวันตกนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4
ในสมยั นเ้ี ริ่มรบั วฒั นธรรมจากตะวันตกมากข้นึ เกิดแนวคดิ ความศวิ ไิ ลซ์ข้นึ วัฒนธรรมอาหารใน
ยคุ นมี้ คี วามเปลยี่ นแปลงมากเนอ่ื งจากพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี 4) ทรงเปน็ ผทู้ มี่ ี
ความคิดก้าวหน้าพร้อมรับวิชาการจากตะวันตก อีกท้ังได้ลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงท่ีเปล่ียนวิถีการ
ดำ� เนนิ ชวี ติ ของคนไทย จากทอ่ี ยแู่ บบพอเพยี งดงั ค�ำกลา่ วของสมเดจ็ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ไดบ้ นั ทกึ
ไวเ้ มอ่ื ตรวจราชการมณฑลอุดร และมณฑลอีสาน พ.ศ. 2499 วา่
“...การกนิ ของชาวบา้ นแถวนที้ ำ� ไดเ้ องเกอื บไมต่ อ้ งหาซอ้ื สง่ิ ใด...เพราะมโี คกระบอื ทอี่ อกลกู เหลอื
ใช้ แลมีหมูแลไก่ท่ีเลี้ยงไว้ด้วยเศษอาหารที่เหลือจากการบริโภค ขายได้เงินซื้อของที่ต้องการได้พอ
ปรารถนา...แตท่ ง้ั ต�ำบลจะหาเศรษฐมี ง่ั มเี งนิ แต่ 200 บาทขนึ้ ไป ไมม่ เี ลย คนยากจนถงึ ขน้ั ตอ้ งเปน็ บา่ วคน
อ่ืนกไ็ ม่มีสกั คนเดยี ว คงอยู่มาเชน่ นี้นบั ดว้ ยรอ้ ยปแี ล้ว”
จากสภาพท่ีอธิบายมาน้ีจะเห็นได้ว่าคนไทยยังคงนิยมอยู่อย่างพอเพียง ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ท�ำ
อาหารทานเองในบา้ น ร้านขายอาหารนอกบา้ นยังไม่เปน็ ทน่ี ยิ ม พอมีอยู่บา้ งสำ� หรับขายข้าราชการทเ่ี ดนิ
ทางไปปฏิบัติหน้าท่ีไกลบ้านซึ่งมีเพียงไม่ก่ีร้านเท่าน้ัน จนกระท่ังสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รชั กาลท่ี 5) เมอื่ ครงั้ เสดจ็ ประพาสสงิ คโปรแ์ ละนำ� วฒั นธรรมอาหารยโุ รปมาขน้ึ โตะ๊ เสวยทำ� ใหบ้ รรดาขนุ นาง
และชนชน้ั สงู นยิ มรบั ประทานอาหารแบบตะวนั ตกมากขน้ึ เชน่ นยิ มใชช้ อ้ นสอ้ ม จบิ ไวนพ์ รอ้ มรบั ประทาน
อาหาร และยงิ่ เดน่ ชดั ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี 6) ผทู้ รงไดร้ บั การศกึ ษา
จากประเทศองั กฤษ พระองคท์ รงเรม่ิ การดม่ื เบยี รแ์ ละนา้ํ แร่ ถงึ แมว้ า่ วฒั นธรรมอาหารแบบตะวนั ตกจะเปน็
ทนี่ ยิ มอยา่ งรวดเรว็ แตก่ ไ็ มไ่ ดท้ ำ� ใหอ้ าหารไทยแบบประเพณสี ญู หายไป แมพ้ ระมหากษตั รยิ เ์ องกย็ งั ไมล่ ะทง้ิ
ประเพณเี กยี่ วกบั อาหารไทย เช่น อาหารมือ้ กลางวันสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั กย็ งั ทรงใช้พระหตั ถ์
เปบิ อยู่ และวฒั นธรรมการปรงุ อาหารชาววงั กย็ งั คงดำ� รงอยแู่ ละพฒั นาฝมี อื เรอื่ ยมา (แสงอรณุ กนกพงศช์ ยั
และคณะ, 2544) แต่ในหมู่ชาวบ้านท่ัวไปก็ยังนิยมรับประทานอาหารพื้นบ้านง่ายๆ อยู่เน่ืองจากอาหาร
ตะวนั ตกกมรี าคาแพงและหารับประทานไดย้ าก