Page 31 - ภาษาถิ่นและวรรณกรรมท้องถิ่นไทย
P. 31
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคอีสาน 8-21
ภาษาบาลีท่ีข้ึนต้นเหล่าน้ันมาแปลความหมายเป็นภาษาอีสานแบบค�ำต่อค�ำ แล้วก็ยกค�ำบาลีอ่ืนท่ีไม่มีใน
คาถาสว่ นแรกขน้ึ มาอธบิ ายขยายความเปน็ ระยะ ถือได้วา่ เปน็ กลวิธีอยา่ งหนง่ึ ท่ีเป็นขนบทางวรรณศิลป์ที่
ผ้แู ต่งใชใ้ นการแต่งวรรณกรรมทอ้ งถนิ่ ใหเ้ ป็นเรอื่ งเกยี่ วกบั พทุ ธศาสนาตามคติความเชอ่ื ของสงั คม เพ่ือให้
ผู้อ่านหรอื ผฟู้ งั เกดิ ความเชอ่ื วา่ เปน็ เรอ่ื งของพระโพธสิ ตั วใ์ นอดตี หรอื สรา้ งความศกั ดสิ์ ทิ ธใ์ิ หก้ บั วรรณกรรม
เรอ่ื งนน้ั ๆ
ในที่น้ีจะน�ำตัวอย่างจากเรื่องพระลักพระลามมาน�ำเสนอเพื่อเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับการแต่งเลียน
แบบชาดกของวรรณกรรมอสี าน ซงึ่ ในเรอื่ งพระลกั พระลามกลา่ ววา่ ขณะทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ ว่ี ดั เชตวนั
เมืองสาวัตถี ได้ยินภิกษุสงฆ์กล่าวสรรเสริญรูปโฉมและผิวพรรณอันงามของพระพุทธองค์ด้วยทิพพโสต
พระพทุ ธองคจ์ งึ ไดเ้ สดจ็ มาถามภกิ ษสุ งฆว์ า่ สนทนาเรอื่ งอะไรกนั ภกิ ษผุ ฉู้ ลาดองคห์ นง่ึ จงึ กราบทลู เรอื่ งราวทง้ั หมด
แลว้ พทุ ธองคจ์ ึงตรสั ว่า รปู โฉมและผิวพรรณอันงามของพระพทุ ธองคใ์ นชาตนิ ไี้ ม่น่าอศั จรรย์เลย เพราะใน
อดีตชาติน่าอัศจรรย์ย่ิงกว่าเพราะมีรูปโฉมและผิวพรรณอันงามย่ิงเป็นที่รักแก่คนจ�ำนวนมาก เหล่าภิกษุ
สงฆจ์ ึงกราบทลู อาราธนานมิ นตใ์ หแ้ สดงพระธรรมเทศนาเรื่องในอดตี ชาตดิ งั กลา่ ว ดังเนอ้ื ความต่อไปน้ี
๏ เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะ ปิณฑิ
กัสสะอาราเม โภ สาธะโว ดูราสัปปุริสะทั้งหลาย เอกัง สะมะยัง ยังมีในกาละคาบหน่ึง ภะคะวา
อันว่าพระพุทธเจ้า วิหะระติ ก็อยู่ เชตะวันเน ในป่าเชตะวัน อาราเม อันเป็นอาราม อะนาถะปิณฑิ
กัสสะ แห่งนายอนาถปิณฑิกะมหาเศรษฐี สาวัตถิยัง อันมีในที่จิ่มใกล้ ไขเมืองสาวัตถีราชธานี
มีประมาณว่าได้ 5 ฮ้อยช่ัวขาธนูก็มีแล
อะถะ โข ในกาละเมื่อนั้น ภิกขู อันว่าเจ้าภิกขุทั้งหลาย สะมุฏฐาเปสุง ก็บังเกิดยังถ้อยค�ำ
อันต้านจาระจาเซิ่งกันไปมาด้วยว่า อาวุโส ดูราเจ้าท้ังหลาย ภะคะวา อันว่าพระพุทธเจ้าแห่งเฮา อัน
ประกอบดว้ ยฮบู โสมตะโนมพรรณวรรณะเนอ้ื ตนอนั งามหาบคุ คละผจู้ กั เสมอบไ่ ดใ้ นโลกนแ้ี ทด้ หี ลแี ล
ว่าดังน้ัน เม่ือนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ยินยังถ้อยค�ำแห่งเจ้าภิกขุท้ังหลายต้านจาระจาเซิ่งกันไปมาด้วย
ทิพพโสตวิญญาณแห่งตน ดังน้ัน พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาน่ังอยู่เหนืออาสนาอันเจ้าภิกขุท้ังหลาย
หากปูแปงไว้ในที่ควรแล้วพระพุทธเจ้าจิ่งถามว่า ภิกขะเว ดูราภิกขุทั้งหลาย ตุมเห อันว่าสูท่านท้ัง
หลายมาต้านจาระจาด้วยถ้อยค�ำอันใดบ่ฮู้พรากจากกันจักเท่ือนั้นจา เม่ือนั้นภิกขุเจ้าตนสลาดด้วย
พุทธโวหารจ่ิงขานค�ำพระพุทธเจ้าว่า ภันเต ฝูงข้าไหว้พระพุทธเจ้า มะยัง อันว่าฝูงข้าท้ังหลายมา
ต้านจาระจาเซิ่งกันไปมาด้วยถ้อยค�ำอันย้องยอยังฮูบโสมตะโนม พรรณวรรณะเนื้อตนแห่ง
พระพทุ ธเจา้ อนั ประกอบดอมดว้ ยเผา่ พนั ธว์ุ รรณะอนั งามหาผจู้ กั เสมอบไ่ ดใ้ นโลกนี้ วา่ ดงั นนั้ กข็ า้ แล
เม่ือน้ันพระพุทธเจ้าจ่ิงกล่าวว่า ภิกขะเว ดูราภิกขุทั้งหลาย ในเมื่อพระตถาคตได้ตรัส ผยา
สัพพัญญุตญาณแล้วแลมีฮูบโสมตะโนมพรรณวรรณะเนื้อตนอันงามสันน้ี ก็บ่เป็นที่อัศจรรย์แท้
ดีหลี ปางเม่ือพระตถาคตยังผงสร้างโพธิสมภารมีญาณยังไป่แก่(กล้า) ก็ยังมีฮูบโสมตะโนมพรรณ
วรรณะเนื้อตนอันงามเป็นที่ฮักแก่คนทั้งหลายมากนักห้ันแล ว่าดังน้ันแล้ว พระพุทธเจ้าก็นั่งอยู่บ่
ปากหั้นแล เม่ือนั้นเจ้าภิกขุท้ังหลายจึงขอราธนาธรรมเทศนาเซิ่งพระพุทธเจ้าว่า ภันเต ฝูงข้าท้ัง
หลายไหว้พระพุทธเจ้า ส่วนดังธรรมเทศนาอันเป็นปัจจุบันในกาละบัดน้ี ฝูงข้าท้ังหลายก็ฮู้แจ้งแล้ว