Page 68 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 68
8-58 ทฤษฎแี ละการวิจารณ์ภาพยนตร์
ตวั อยา่ งงานท่ศี กึ ษาการตีความของผู้รบั สาร โดยเชอ่ื ว่าภาพยนตรเ์ ป็นตวั บททเี่ ปิด (open text)
ตามแนวคดิ ของนกั สญั วทิ ยากลมุ่ หลงั โครงสรา้ งนยิ มซง่ึ มองวา่ ผถู้ อดรหสั มอี �ำนาจในการตคี วามตวั บท ไดแ้ ก่
งานของก�ำจร หลุยยะพงศ์ (2547, น. 129-169, 231-238) ในหนังสือ “หนังอุษาคเนย์: การศึกษา
ภาพยนตร์แนววัฒนธรรมศึกษา” ซึ่งแสดงให้เห็นการต่อรองทางความหมายของผู้ชมที่แตกต่างกันต่อ
ภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลา: เงาอดีตของการเมืองบนแผ่นฟิลม์ และการอ่านความหมายท่ีแตกต่างกันของ
คนอษุ าคเนยใ์ นงานเรอื่ ง “ทศั นะตอ่ จนั ดารา ในสายตาชาวอษุ าคเนย”์ ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ คน ชาวอษุ าคเนย์
ซ่ึงได้แก่ ไทย เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่มีประสบการณ์ทางความคิดท่ี
แตกต่างกันท้ังเร่ืองเพศ ชาตินิยม และบริบทการชมภาพยนตร์ล้วนมีผลต่อการตีความภาพยนตร์เรื่อง
จนั ดารา ในรูปแบบท่ีไม่เหมอื นกัน
แนวคดิ ของนกั วชิ าการกลมุ่ หลงั โครงสรา้ งนยิ มอกี ทา่ นทน่ี า่ สนใจคอื แนวคดิ ของ “ฌาคส์ แดรร์ ดิ า”
(Jacques Derrida, 1930-2004) มีแนวคิดที่ส�ำคัญได้แก่ แนวคิดเรื่อง difference/difference และ
การรอื้ สรา้ งความหมาย (de-construction) โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้
(1) แนวคิดเร่ือง difference/differance แดรร์ ดิ ามองวา่ การสรา้ งความหมายนน้ั ไมไ่ ดอ้ ยบู่ นหลกั
การความแตกตา่ งของสญั ญะ ซึง่ เป็นวิธคี ดิ ทมี่ องแต่มติ ิของพ้นื ที่ (spatial dimension) แตก่ ระบวนการ
สร้างความหมายมีเร่ืองมิติของเวลา (temporal dimension) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สัญญะจะสร้างความ
หมายตอ่ เมอ่ื ไปจบั ตวั กบั สญั ญะอน่ื ๆ ซงึ่ แดรร์ ดิ าเรยี กวา่ การสรา้ งความหมายผา่ นการชะลออกไป (differance)
เช่น หากเราศึกษาความเป็นหมอในภาพยนตร์ จะเห็นได้ว่านิยามความเป็นหมอน้ันมีความเปล่ียนแปลง
อย่างไม่มีท่ีสิ้นสุดและแปรผันไปตามยุคสมัย ต้ังแต่ หมอผู้มุ่งม่ันในอุดมการณ์ เสียสละเพื่อมวลชน ใน
ภาพยนตร์เรือ่ ง เขาชือ่ กานต์ (2516, 2531) หมอผเู้ ปน็ ฆาตกรใน นวลฉวี (2528) จนถึงหมอผู้แหกขนบ
หมอทุกประการใน หมอเจ็บ (2547) จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าความเป็นหมอน้ันมีลักษณะที่ไม่
หยดุ นงิ่ ลนื่ ไหล ดงั นนั้ สญั ญะตา่ งๆ จงึ ไมเ่ คยสมบรู ณใ์ นตวั เอง อาจจะมเี พยี งบางชว่ งเวลาเปน็ การชวั่ คราว
การส่ือสารความหมายจะเกดิ ขน้ึ ท่ามกลางความลนื่ ไหลทีไ่ มส่ นิ้ สุดจากรูปสญั ญะหนงึ่ ไปสรู่ ูปสัญญะหนึ่ง
(2) แนวคิดเร่ืองการรื้อสร้างความหมาย (de-construction) แดร์ริดาปฏิเสธความคิดการยึด
เหตุผลเดียวเป็นศูนย์กลาง (logocentrism) อันเป็นพื้นฐานความคิดของปรัชญาตะวันตกที่มักก่อตัวมา
จากทัศนะการยึดเหตุผลบางอย่างหรืออ้างเหตุผลเดียวท่ีมาจากมุมมองของใครบางคน เช่น เป็นผู้ริเริ่ม
เป็นรูปแบบท่ีเป็นอุดมคติ เป็นเนื้อแท้ เป็นพระเจ้า เนื่องจากเขาเห็นว่าถ้ามีเหตุผลหน่ึงถูกยกข้ึนมาเป็น
ขอ้ อ้างแลว้ กแ็ สดงวา่ มีเหตุผลอื่นๆ ทเ่ี ป็นไปได้อยู่ด้วย แต่ถกู กดทับไว้ ไม่เคยมีการสร้างชุดความหมายท่ี
เปน็ หนงึ่ เดยี ว แตใ่ นการใชภ้ าษาของมนษุ ยน์ น้ั สามารถสรา้ งชดุ ความหมายทม่ี ากไปกวา่ หนง่ึ เสมอ สญั ญะ
หรอื ชดุ ความหมายใดๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากกระบวนการประกอบสรา้ ง (construction) สญั ญะนนั้ กส็ ามารถผา่ น
กระบวนการร้อื ถอน (deconstruction) และกระบวนการสร้างขน้ึ ใหม่ (reconstruction) ท้งั น้เี คร่อื งมอื ที่
ส�ำคัญในการสร้างความเป็นศูนย์กลางนั้นก็คือการเปรียบเทียบความสัมพันธ์แบบคู่ตรงข้าม (binary
opposition) ที่ทำ� ใหส้ ่งิ หนงึ่ กลายเป็นศูนย์กลาง และสงิ่ อืน่ ๆ ท่ีเหลือกจ็ ะกลายเป็นสิ่งทมี่ ีคณุ คา่ น้อยกวา่
และจะเปน็ สงิ่ ทถ่ี กู กดี กนั ออกไป (exclude) ถกู ละเลย กดทบั ถกู ทำ� ใหม้ คี ณุ คา่ นอ้ ยกวา่ หากเราใชแ้ นวคดิ นี้
ในการศึกษาความเป็นพม่าในภาพยนตร์เร่ือง สุดเสน่หา (2545) จะพบว่ามีการร้ือถอนความเป็นพม่าท่ี