Page 78 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 78

8-68 ทฤษฎแี ละการวจิ ารณภ์ าพยนตร์
       (1) ภาพยนตร์เป็นสื่อที่ท�ำให้ผู้ชมยอมรับอ�ำนาจผ่านการเล่าเร่ืองด้วยความยินยอมพร้อมใจ

ผูช้ มคือผู้ท่ีถอื เงินไปซื้อตว๋ั และเดินเข้าไปชมภาพยนตร์ ขณะทชี่ มภาพยนตร์ ผู้ชมต้องอยใู่ นหอ้ งมืดเป็น
เวลาไม่ต่ํากว่าชั่วโมง ตรึงตัวเองไว้กับท่ีเพื่อชมเรื่องเล่าบนจอขนาดใหญ่อย่างต่อเน่ือง กล่าวสรุปได้ว่า
ภาพยนตร์เปน็ สื่อทีผ่ ู้ชมพาตนเองเข้าไปรบั การครอบงำ�  ดงั ที่ Metz (Christian Metz) นักวชิ าการด้าน
ภาพยนตร์ ในกลุ่มสัญวิทยา ได้บัญญัติศัพท์ค�ำว่า “cinematic apparatus” มาอธิบายการท�ำงานของ
สถาบันภาพยนตร์ท่ีเป็นส่วนผสมระหว่างความเป็นอุตสาหกรรม และความเป็นสื่อที่มีผลต่อจิตวิทยา
ของผู้ชม เน่ืองจากภาพยนตร์เป็นสื่อท่ีใช้เทคโนโลยีสูงท้ังกล้อง แสง ฟิลม์ และจอฉาย เงื่อนไขของ
สถานการณ์ในขณะท่ีชมนั้นเป็นการชมในโรงภาพยนตร์ที่มืด ผู้ชมถูกตรึงไว้กับท่ีนั่งไม่เคล่ือนไหวไป
ไหน ตัดขาดการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ทนี่ ง่ั อยรู่ ายลอ้ มในโรงภาพยนตรเ์ ดยี วกนั เบอื้ งหนา้ เปน็ จอฉาย
ภาพยนตร์ขนาดใหญ่ เคร่ืองฉายอยู่เบ้ืองหลังของผู้ชม ตัวเนื้อหาในภาพยนตร์ก็เป็นตัวบท (text)
ภาพยนตร์จึงเป็นเคร่ืองกลแห่งจิตใจท่ีเข้าไปมีผลต่อจิตใจของผู้ชมทั้งในระดับจิตส�ำนึก (conscious)
จิตใต้สำ� นกึ (subconscious) และจิตก่อนสำ� นกึ (preconscious) (Stam, Robert, Burgoyne, Robert
and Flitterman – Lewis and Sandy, 1992, pp. 142-143)

       (2) ภาพยนตร์เป็นพื้นที่จริง ๆ ลวง ๆ เป็นพ้ืนที่ท่ีมีการผสมผสานระหว่างความจริงกับ
จินตนาการ (real-and-seemingness) อนั เปน็ พน้ื ทท่ี เ่ี หมาะสมตอ่ การทำ� งานของอดุ มการณ์ องคป์ ระกอบ
บางส่วนในภาพยนตร์ดูเหมือนจริงเช่นเดียวกับโลกที่เราพบเจอ เช่น ฉากหลังที่เป็นเมืองกรุงเทพฯ การ
แต่งกายของผู้คนในภาพยนตร์ท่ีร่วมสมัย แต่ขณะเดียวกันเร่ืองราวของตัวละครท่ีด�ำเนินไปกลับเป็นส่ิงท่ี
ถูกประกอบสร้างขน้ึ มา พ้นื ท่ีของภาพยนตร์จึงเปน็ พื้นท่ีจรงิ ๆ ลวงๆ

       (3) ภาพยนตร์มีวิธีการท�ำงานในการเล่าเร่ืองแบบท�ำให้ดูราวกับธรรมชาติ (naturalization) อนั
เป็นหลักในการท�ำงานของอุดมการณ์ ซ่ึงกลวิธีน้ีอุดมการณ์จะถูกสถาปนาโดยที่ผู้ชมแทบไม่ได้ตระหนัก
ถงึ ความครอบงำ� ทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยรสู้ กึ ราวกบั วา่ กระบวนการนนั้ เปน็ สง่ิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ตามธรรมชาติ หรอื เปน็ ไปโดย
ปริยาย (naturalized/taken-for-granted) ภาคปฏิบัติการของอุดมการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในระดับจิตส�ำนึก
ง่ายๆ แต่ท�ำงานลึกลงไปในจิตไร้ส�ำนึก (unconscious)

       (4) ภาพยนตร์ใช้หลักในการเล่าเร่ืองแบบท�ำกรณียกเว้น (exceptional case) ใหเ้ ปน็ ข้อเทจ็ จริง
ทั่วไป (generalization) เช่นเดียวกับหลักในการทำ� งานของอดุ มการณ์ โดยการประกอบสร้างเรือ่ งเล่าที่
ในความเป็นจริงมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อยให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่มีโอกาสพบเห็นได้ทั่วไป ขยายเรื่องราว
ของปัจเจกบคุ คล หรือกลมุ่ บุคคล ท่ีอาจมโี อกาสเกิดข้ึนจรงิ ไดน้ อ้ ยมาก ให้คนจ�ำนวนมากไดร้ ับรู้ ราวกบั
วา่ เรื่องเหล่านนั้ อาจเกิดข้นึ ได้จริงได้โดยง่าย

       (5) ภาพยนตร์ประกอบสร้างความหมายในเรื่องเล่า โดยใช้หลักการท�ำงานของการสร้างชุด
โครงสร้างความสัมพันธ์ (structuralist set of relations) ซงึ่ เปน็ หลกั การทำ� งานเดยี วกบั การทำ� งานของ
อดุ มการณ์ วธิ กี ารทำ� งานของการสรา้ งชดุ โครงสรา้ งความสมั พนั ธน์ ใี้ นลำ� ดบั แรกจะมกี ารแบง่ ขว้ั ความหมาย
ออกเป็นความสัมพันธ์คู่ตรงข้าม (binary opposition) เชน่ ความเปน็ ผชู้ าย-ความเปน็ ผหู้ ญงิ ความเปน็
ตะวนั ตก-ความเป็นตะวนั ออก และต่อมาก็จะท�ำการก�ำหนดชั้นของคุณค่า (hierarchy of values) ลงใน
   73   74   75   76   77   78   79   80   81   82   83