Page 43 - ภาษาและทักษะเพื่อการสื่อสาร
P. 43

ความรพู้ น้ื ฐานเก่ยี วกบั ภาษาเพอ่ื การสือ่ สาร 1-33
       นกั วชิ าการไดท้ �ำการวจิ ยั เพอื่ ขจดั ขอ้ สงสยั ทว่ี า่ เพศมผี ลตอ่ ทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรมหรอื ไม่ และพบ
ว่าเพศหญิงมีแนวโน้มที่จะถูกชักจูงใจได้ง่ายกว่าชาย อีกทั้งยังอ่อนไหวและไวต่อความรู้สึกมากกว่าด้วย
แตก่ ไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ ในทกุ สงั คมจะเปน็ เชน่ เดยี วกนั หมด เพราะวฒั นธรรมในแตล่ ะสงั คมมสี ว่ นหลอ่ หลอม
และก�ำหนดบทบาทหนา้ ทข่ี องแตล่ ะเพศด้วยน่ันเอง
       2.4 	อาชีพ หากผู้ส่งสารอยู่ในแวดวงวิชาชีพเดียวกับผู้รับสาร การวิเคราะห์อาชีพของผู้รับสาร
อาจไม่จ�ำเป็นมากนัก เน่ืองจากคนในวิชาชีพเดียวกันจะมีพ้ืนฐานประสบการณ์ท่ีคล้ายคลึงกันพอสมควร
นอกจากนยี้ งั สามารถเขา้ ใจคำ� ศพั ทเ์ ฉพาะทางสำ� หรบั อาชพี นน้ั ไดอ้ กี ดว้ ย เชน่ หมอสงั่ งานพยาบาล คนไข้
ฟังแลว้ ไมส่ ามารถเข้าใจได้ท้งั หมด แต่พยาบาลกส็ ามารถปฏิบัติตามไดอ้ ย่างถกู ต้อง
       แตห่ ากผสู้ ง่ สารและผรู้ บั สารมอี าชพี ทแ่ี ตกตา่ งกนั มาก ผสู้ ง่ สารควรศกึ ษาลกั ษณะอาชพี ของผรู้ บั สาร
และวเิ คราะหว์ า่ บคุ คลแตล่ ะอาชพี ใหค้ วามสนใจในเรอื่ งใดบา้ ง เพอื่ จะไดด้ งึ ความสนใจของผรู้ บั สารในขณะ
ท่ีพดู ได้ นอกจากนี้ยงั ตอ้ งหลีกเลี่ยงการใชค้ �ำศัพทเ์ ฉพาะทาง หรือถา้ จ�ำเปน็ ต้องใชก้ ็ควรให้คำ� จ�ำกดั ความ
ท่ผี รู้ บั สารเขา้ ใจได้ง่ายด้วย
       2.5 	การศึกษา การศึกษาในท่ีนี้ไม่ไดห้ มายถึงความรทู้ ไี่ ดร้ บั จากสถาบนั การศึกษาเท่าน้ัน แตย่ ัง
หมายรวมถงึ การเรยี นรจู้ ากประสบการณข์ องแตล่ ะบคุ คลดว้ ย เมอื่ ผสู้ ง่ สารรรู้ ะดบั การศกึ ษาของผรู้ บั สารก็
ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งยากท่ีจะคาดเดาความมงุ่ หวังของผรู้ บั สารได้ หากผูร้ ับสารไมไ่ ด้มกี ารระดบั การศกึ ษาที่สงู นัก มี
แนวโน้มที่จะถูกชักจูงใจได้ง่าย ผู้ส่งสารควรส่ือสารเรื่องราวโดยพยายามให้ง่ายต่อการท�ำความเข้าใจให้
มากทสี่ ดุ และควรตดั รายละเอียดเชงิ ลึกที่ไมจ่ �ำเป็นออกไปบา้ ง เพ่ือปอ้ งกนั ผูร้ บั สารสับสน
       ผู้รับสารที่มีระดับการศึกษาสูงมักจะถูกโน้มน้าวใจได้ยากตามไปด้วย เพราะการศึกษาจะช่วยให้
บุคคลมีการคิด วิเคราะห์ และประเมนิ ค่าสิง่ ตา่ งๆ โดยมีเหตุผลรองรบั ดงั นั้น เม่อื ต้องสอ่ื สารกับผรู้ ับสาร
ทมี่ รี ะดบั การศกึ ษาสงู จงึ ควรนำ� เสนอสารทงั้ ดา้ นทเ่ี ปน็ ผลดแี ละผลเสยี เพอื่ ใหผ้ รู้ บั สารเกดิ การเปรยี บเทยี บ
และตัดสินใจ และพยายามมุ่งเน้นที่ความต้องการของผู้รับสารเป็นหลัก เช่น ความต้องการมีส่วนร่วม
ในการแก้ไขปญั หาในองคก์ ร หรือความต้องการเปน็ คนทนั เหตุการณ์ ทนั สมัย เปน็ ตน้
       2.6 	สมาชิกของกลุ่มสังคม นอกจากอาชพี แลว้ มนษุ ยย์ งั มกี ลมุ่ ทางสงั คมอนื่ ๆ ทเ่ี ปน็ สมาชกิ อกี
เช่น กลุ่มครอบครวั กลมุ่ เพ่ือน กลมุ่ ชมรมตา่ งๆ ท่เี นน้ ความสนใจเฉพาะดา้ น กลุ่มทางสังคมเหล่าน้มี ีผล
อย่างมากต่อความคิดและทัศนคติของบุคคลท่ีเป็นสมาชิกกลุ่ม เนื่องจากกลุ่มต่างๆ จะมีค่านิยมที่เป็น
บรรทดั ฐานในการกำ� หนดกรอบความคดิ ของสมาชกิ แตกตา่ งกนั ออกไป ดงั นน้ั การวเิ คราะหก์ ลมุ่ ทางสงั คม
ทีผ่ รู้ บั สารเปน็ สมาชิกอยู่ จึงช่วยใหผ้ ู้ส่งสารปรบั เร่อื งท่ีจะนำ� เสนอให้สอดคล้องกับผู้รับสารไดง้ า่ ยขน้ึ
       นอกจากน้ี กลมุ่ ทางสงั คมบางกลมุ่ ยงั สามารถบง่ บอกเรอ่ื งทผี่ รู้ บั สารสนใจไดอ้ กี ดว้ ย เชน่ สมาคม
กลว้ ยไม้ ชมรมวาทศิลป์ สมาคมนักวจิ ารณภ์ าพยนตร์ เป็นต้น
       2.7		 ความเชื่อ ความเช่อื ของบุคคลมผี ลมาจากหลายปัจจัย แต่ความเช่อื ทม่ี ีอิทธิพลค่อนขา้ งมาก
ตอ่ กระบวนการคดิ และทศั นคตขิ องมนษุ ย์ คอื ความเชอื่ ในศาสนา ในสงั คมทค่ี วามแตกตา่ งดา้ นการนบั ถอื
ศาสนาไมม่ ากนกั การสอื่ สารเรอื่ งทอ่ี า้ งองิ ความเชอ่ื หรอื หลกั ทางศาสนาจงึ เปน็ เรอื่ งทสี่ ามารถท�ำได้ และมี
แนวโน้มที่จะจูงใจผู้รบั สารส่วนใหญไ่ ด้ดว้ ย แตใ่ นทางกลับกนั การอา้ งองิ หลกั ศาสนาประกอบการสอื่ สาร
ในสงั คมท่มี ีความหลากหลายของศาสนาอาจไม่เหมาะสมนกั เนือ่ งจากต่างคนต่างความเชอื่ การทที่ ุกคน
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48