Page 46 - ภาษาและทักษะเพื่อการสื่อสาร
P. 46
1-36 ภาษาและทกั ษะเพื่อการส่ือสาร
2.2 อวัจนภาษา (Non-verbal language) คือ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยค�ำ อาจเอ่ยแยกหรือประกอบ
การพดู หรอื การเขยี น ซ่ึงสามารถส่อื ความหมายให้ผรู้ บั สารไดร้ บั รู้หรือตคี วามได้ การส่อื สารเชิงอวจั นะจงึ
หมายถึงพฤติกรรมของผู้ส่งสารท่ีแสดงออกมา โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่พฤติกรรมน้ันมีผลต่อการ
สอ่ื สารกบั บคุ คลอนื่ นอกจากนี้ สภาพแวดลอ้ ม วตั ถสุ งิ่ ของทส่ี อ่ื ความหมายเกย่ี วกบั เจา้ ของ กถ็ อื ไดว้ า่ เปน็
สว่ นหนง่ึ ของการส่ือสารเชงิ อวัจนะ
ความหมายทสี่ ่ือจากพฤตกิ รรมเชงิ อวัจนะ เช่น ทา่ ทาง การใชส้ ายตา การสมั ผสั และน้�ำเสยี ง มี
อิทธิพลต่อการรับรู้สารมากกว่าค�ำพูดเสียอีก เนื่องจากร้อยละ 60 ของความหมายที่เกิดในการสื่อสาร
ระหวา่ งบุคคลจะทราบไดจ้ ากการกระทำ� เชิงอวัจนะ
หากแบง่ อวัจนภาษาตามลกั ษณะหรอื วธิ กี ารทีแ่ สดงออกมา จะได้เป็น 7 ประเภท ดังน้ี
1) เทศภาษา (Proxemics) เปน็ วธิ กี ารสรา้ งและใชพ้ นื้ ท่ี (space) ในชวี ติ ประจำ� วนั ซงึ่ รวมถงึ
ระยะห่างระหวา่ งบุคคลท่ที �ำการสื่อสารกัน การท่ีอยู่ใกล้ชิดกนั มากขณะทำ� การส่ือสาร ย่อมหมายถึงความ
สนทิ สนมทม่ี มี ากระหวา่ งคสู่ นทนา ซงึ่ มนษุ ยต์ อ้ งการพนื้ ทส่ี ว่ นตวั ทเ่ี พยี งพอ หากรสู้ กึ ถงึ การถกู บกุ รกุ จาก
บุคคลท่ีไม่สนิทสนมกัน อาจเกิดความไม่พอใจหรือหวาดระแวง แต่หากเป็นบุคคลที่สนิทกันก็อาจเข้าไป
ใกลช้ ดิ หรอื เขา้ ไปอยใู่ นพน้ื ทสี่ ว่ นตวั ของกนั และกนั ได้ พนื้ ทสี่ ว่ นตวั ของแตล่ ะบคุ คลจะมขี นาดไมเ่ ทา่ กนั ขนึ้
อยู่กบั เพศ เชอ้ื ชาติ สถานภาพ อายุ บุคลิกภาพ วัฒนธรรมประเพณี และสถานการณ์
2) กาลภาษา (Chronemics) เปน็ อวจั นภาษาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ระยะเวลา หรอื ชว่ งเวลาทก่ี ำ� ลงั
สื่อสารกัน เช่น โทรศัพทท์ ดี่ งั ขึ้นในชว่ งตี 2 บ่งบอกถงึ เรือ่ งด่วนหรอื ฉกุ เฉนิ มากกวา่ โทรศัพทท์ ดี่ ังขน้ึ ชว่ ง
บ่าย 2 โมง หรือการไปพบคู่สนทนาตรงเวลานัดหมาย บ่งบอกถึงความเคารพ ให้เกียรติและเห็นความ
สำ� คัญของอกี ฝ่ายหน่ึง และยงั แสดงถึงความรับผิดชอบของผู้ท่ีไปตรงเวลาดว้ ย ซ่ึงในแต่ละสังคมมีการให้
ความสำ� คญั กบั เวลาแตกตา่ งกนั ไป ดงั นนั้ การใชอ้ วจั นสารดา้ นเวลาอาจไดผ้ ลดใี นสงั คมหนง่ึ แตอ่ าจไมไ่ ดผ้ ล
ในสังคมอ่ืนๆ ก็ได้
3) อาการภาษา (Kinesics) เป็นการเคล่ือนไหวร่างกายหรือพฤตกิ รรมทีผ่ ู้อน่ื สามารถมอง
เห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง สีหน้า การใช้สายตา ในแต่ละสังคมอาจมีการก�ำหนดและรับรู้ร่วมกันว่าการ
เคล่อื นไหวรา่ งกายแต่ละแบบมีความหมายอย่างไร เช่น การส่ายหน้า หมายถึง ปฏเิ สธ หรอื การโบกมอื
เปน็ การทกั ทายหรอื อำ� ลา ซง่ึ แตล่ ะบคุ คลมกั มภี าษาทา่ ทางทเี่ ปน็ เอกลกั ษณข์ องตวั เอง และเรามกั จะแสดง
ความรสู้ กึ ทมี่ ตี อ่ ผอู้ นื่ ออกมาผา่ นภาษาทา่ ทาง และภาษาทา่ ทางนยี้ งั บอกใหท้ ราบถงึ สถานภาพและภมู หิ ลงั
ของแต่ละคนได้อีกด้วย เช่น ลักษณะท่าเดินของผู้หญิงและผู้ชายที่มีความแตกต่างกัน แต่ถ้าผู้ชายที่มี
ลกั ษณะการเดินเหมอื นผูห้ ญิง เรามกั จะเข้าใจวา่ เขาเบย่ี งเบนทางเพศ
นอกจากน้ี ความชอบ ความเกีย่ วพัน และความพงึ พอใจ ก็เปน็ ปจั จยั ให้บคุ คลแสดงภาษา
ท่าทางทแ่ี ตกต่างกัน เช่น เรามกั จะชอบเลียนแบบพฤติกรรมของคนที่เราช่ืนชมหรอื คนที่เราเหน็ ว่าดี เรา
มักใช้แววตาท่เี ป็นมิตรขณะส่ือสารเพ่ือสรา้ งสัมพันธไมตรีระหว่างเรากับคสู่ ่ือสาร และจะไมพ่ ยายามสบตา
คนทเ่ี รารู้สึกไม่ชอบ
ภาษาทา่ ทางทสี่ ำ� คญั อกี ประการหนง่ึ คอื การใชส้ ายตา ไมว่ า่ จะเปน็ การจอ้ ง เหลอื บ ชำ� เลอื ง
หร่ีตา ถลึงตา ล้วนสื่อสารถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและทัศนคติได้ การสบตากับคู่สนทนา ก็เป็นการ
บง่ บอกถงึ ความตง้ั ใจฟังไดเ้ ป็นอย่างดีอกี ด้วย